สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
ชู‘สอท.’สมการการเมืองใหม่
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) ให้สัมภาษณ์เครือมติชน ถึงแนวทางการขับเคลื่อนพรรค สอท. ทิศทางการเมืองหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่ต้องการสมการทางการเมืองใหม่ เพื่อให้การเมืองเปลี่ยนแปลงและมีเสถียรภาพ รวมถึงความคาดหวังเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีในอนาคต
•การขับเคลื่อนพรรคสร้างอนาคตไทย และความชัดเจนเรื่องแคนดิเดตนายกฯ
จุดเริ่มต้นมาจากกลุ่ม “4 กุมาร” (นายอุตตม สาวนายน, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์, นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) ได้มาทาบทามให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้กับพรรค สอท. ตอนแรกผมไม่ได้รับปาก แต่เมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว ในทางการเมืองนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นแค่ที่ปรึกษา การมีพรรคการเมืองใหม่ในสมรภูมิการเมือง เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะอยู่แค่เบื้องหลัง อยากจะช่วยสร้างพรรคการเมืองที่ดีให้แก่คนรุ่นใหม่ที่ตั้งใจทำงานและปราศจากการถูกครอบงำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แม้เราจะบอกว่าอยู่ในระบอบประชาธิปไตย แต่ประชาธิปไตยของเราไม่สามารถทำให้คนมีส่วนร่วมในการกำหนดชะตากรรมของบ้านเมืองได้ ถ้าหากไม่มีทุนก็ได้ ส.ส.ลำบาก เมื่อไม่มี ส.ส.ก็ไม่มีเสียงในสภา ก็ไม่มีสิทธิได้บริหารประเทศ คนดีและคนเก่งก็ไม่อยากเข้ามาสู่วงการเมือง นี่เป็นสิ่งที่น่าท้อใจมาก สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมบอกกับนายอุตตมและนายสนธิรัตน์ว่า หากจะทำพรรคการเมืองก็ขอให้ทำพรรคที่ดีเป็นตัวอย่างให้คนรุ่นใหม่กล้าที่จะเข้ามาสู่วงการเมือง ผมไม่ได้มีความปรารถนาที่จะอยู่ในวงการเมือง แต่ก่อนที่จะวางมือ ขอเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างพรรคการเมืองที่ดี ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น เพื่อเป็นตัวอย่างไปสู่คนรุ่นใหม่ไม่ให้เดินหนีจากการเมือง
ส่วนชื่อพรรคสร้างอนาคตไทยผมเป็นคนคิดชื่อพรรคให้ เพราะมองว่าถ้าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นเช่นนี้ ลูกหลานก็คงไม่ค่อยมีอนาคตกันเท่าไหร่ อยากตั้งชื่อเพื่อให้เป็นความหวัง แม้คุณจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่คุณสามารถสร้างอนาคตได้ เลือกกันเอาเอง
ผมขอแนะนำเสนอหนังสือที่ลูกชายผมเขียน ชื่อว่า “อาทาเดีย” ซึ่งเริ่มจากความสนใจในเรื่อง “Big Data” แล้วพัฒนาไปถึงเรื่อง “Metaverse” หนังสือเล่มนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงจินตนาการของคนรุ่นใหม่ว่าในโลกข้างหน้าเขามีความต้องการอะไร อาทาเดียเปรียบเสมือนกับประเทศหนึ่งที่ควรจะมีระบบการบริหารจัดการตามความคิดของคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่คนรุ่นเก่า คนรุ่นใหม่ต้องการประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วม ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบ 4 วินาทีที่เมื่อจบการเลือกตั้งแล้วกลายเป็นเรื่องของนักการเมืองและไม่เกี่ยวข้องกันอีกเลย เจเนอเรชั่นของพวกเขามองการเมืองไทยว่าเป็นเรื่องไร้สาระไปแล้ว เด็กรุ่นใหม่ที่ยังมีอายุน้อยอาจกลายเป็นผู้ที่ไม่สนใจการเมืองเลย ซึ่งผมมองว่า
อันตรายมากๆ และไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น
•สเปกนายกรัฐมนตรีคนต่อไปควรเป็นอย่างไร ในการเข้ามาขับเคลื่อนการเมืองและเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้
ตำแหน่งนายกฯคือตำแหน่งสุดท้ายที่ผมต้องการ คนที่จะมาเป็นนายกฯคือคนที่ต้องแบกรับภาระของคนทั้งประเทศ ถ้าไม่อยู่ในจุดที่ผู้คนส่งเสริมก็เป็นไม่ได้ ต่อให้เป็นก็ทำได้ไม่ดีพอ การบริหารประเทศให้ไปข้างหน้าได้ต้องเป็นตัวของตัวเอง สเปกนายกฯที่ควรจะมี คือ จะต้องรู้ภาพรวมของประเทศ ถ้าไม่รู้ ก็ต้องหาคนที่รู้และฉลาดมาแวดล้อม ทุกอย่างก็จะเดินหน้าต่อไปได้ ถ้าไม่รู้เรื่องและไม่มีคนเก่งแวดล้อม ประเทศก็จะวนอยู่ในอ่าง เดินหน้าต่อไม่ได้ ถ้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ประชาชนจะสนับสนุนเอง
•ในช่วงต้นๆ ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ถือว่าเป็นคนริเริ่มโครงการประชารัฐ เมื่อไปอยู่พรรคใหม่จะเอาเรื่องนี้ไปสานต่อหรือไม่
ผมไม่สนใจว่าจะอยู่พรรคไหน แต่ผมเป็นคนคิดนโยบายเรื่องนี้ขึ้นมาก็จะใช้ให้เกิดประโยชน์กับทุกคน ส่วนนโยบายสวัสดิการประชารัฐ เราจะรู้ดีว่าคนจนมีมาก และในขณะนั้นเราทำพร้อมเพย์ เป็นการนำเงินจากรัฐบาลไปยังประชาชนได้โดยตรง ถือเป็นการวิวัฒนาการนวัตกรรม
แต่การช่วยด้านสวัสดิการประชารัฐจะช่วยได้เท่าที่ศักยภาพการคลังของประเทศเอื้ออำนวย แต่อย่างน้อยมันเป็นจุดเริ่มต้นและต้องก้าวต่อไปด้วย ฉะนั้นถ้าผมจะใช้ต่อ ผมก็มีสิทธิใช้ได้ แต่จะไม่ใช้พร่ำเพรื่อ จะใช้มันเหมือนเป็นการต่อยอดให้ดียิ่งกว่าเดิม ดังนั้นแล้วอะไรที่เป็นของดีจะของใครก็ต้องรักษาไว้ เพราะคนที่ได้ประโยชน์คือประชาชน และผมก็ไม่ได้เคลมว่าสิ่งนั้นเป็นของผม สำหรับนโยบายของพรรค สอท.ในด้านเศรษฐกิจที่จะเปิดมานั้น คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาษี แต่ขอยังไม่เปิดเผยรายละเอียด รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมจะชี้แจงให้ทราบ
•นโยบายที่นำมาใช้นั้น ถึงตอนนี้คิดว่าเป็นการหลงทางหรือไม่
ไม่ได้เป็นการหลงทางอะไรเลย เพียงแต่ต้องเพิ่มของเรื่องการเอาใจใส่ เนื่องจากการบริหารของประเทศไทย ใช่ว่าสั่งแล้วจะได้เลย แต่เชื่อว่าโอกาสของประเทศไทยมีมาก แต่ข้อจำกัดและอุปสรรคก็มีมากเช่นเดียวกัน ดังนั้นที่บอกว่าจะปฏิรูป ไม่ใช่ว่าจะปฏิรูปการเลือกตั้งได้อย่างไร เพราะถ้ามีการเลือกตั้งก็มีการซื้อเสียงกันอยู่ดี แต่หัวใจของการปฏิรูป คือ การปฏิรูปงานบริหารราชการแผ่นดิน การศึกษา ต้องกล้าเปิดให้เด็กได้เรียนรู้และรับฟังข้อเสนอของคนรุ่นใหม่ด้วย หรือแม้แต่ปฏิรูปกฎหมายที่มีความล้าหลัง แต่นี่คือสัจธรรมคนที่ดีๆ ไม่กล้าเข้าสนามการเมือง และสนามการเมืองกลายเป็นสนามอะไรก็ไม่รู้ ดังนั้นแล้วถ้าเราจะไม่ยุ่งกับการเมืองหรือมองว่าการเมืองเป็นเรื่องสกปรก คุณบ่นได้คนเดียวนะ อย่าบ่นดังๆ เพราะการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ฉะนั้นอยู่ในประเทศนี้ต้องอดทนหน่อย
•ในวันที่ 30 กันยายน ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่านายกรัฐมนตรี 8 ปีของ พล.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประเทศจะเดินหน้าอย่างไร
ผลของคำวินิจฉัยจะออกมาไม่ว่าจะออกมาอย่างไร แต่สุดท้ายก็อยู่ที่ประชาชน อย่างไรก็ต้องมีการเลือกตั้ง และถ้าคุณยังเลือกตั้งโดยที่ไม่ดูอะไรเลย สมการการเมืองจะไม่เปลี่ยน ซึ่งเอาคะแนนเสียงมาเรียงแล้ว ถามว่ามีพรรคไหนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เลยหรือไม่ ดังนั้นด้วยโครงสร้างแบบนี้ถ้าจะจัดตั้งรัฐบาลได้ก็ต้องเลือกนายกฯได้ และแบบนี้จะมีพรรคไหนที่สามารถเลือกนายกฯได้ เพราะมีเสียงของ ส.ว. 250 คน ถ้าเป็นแบบนี้ แล้วจะมีพรรคไหนเสนอ
นายกฯได้ ลองคิดดูว่าจะเป็นไปได้ไหม และถ้าไม่สามารถตั้งนายกฯได้ ก็ต้องอาศัยพรรคอื่น แล้วถ้าพรรคอื่นที่เข้านั้นไม่มีพรรคใหม่ๆ ขึ้นมา สมการทางการเมืองก็จะเป็นเหมือนเดิม ดังนั้นมันอยู่ที่มือของประชาชน ในระบอบประชาธิปไตยอาวุธที่สำคัญของประชาชนคือการเลือกตั้ง ไม่ใช่แค่ให้ความสำคัญเพียงแค่ช่วง 4 วินาทีในการเข้าคูหากาบัตรเลือกตั้ง แต่สำคัญที่สุดคือเราต้องเลือกตั้งเพื่อให้เปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น
ถ้าสามารถตั้งพรรคการเมืองใหม่ได้สัก 2 พรรค ที่มีจำนวน ส.ส.พอสมควร แล้วบังเอิญทำให้สมการทางการเมืองต้องอาศัยพรรคเหล่านี้เข้ามาเป็นแกนหลักขับเคลื่อนประเทศ เชื่อว่าการเมืองจะเปลี่ยน แต่ที่สมการการเมืองไม่เคยเปลี่ยนก็เพราะว่าไม่มีตัวแปรใหม่ ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ผมจึงตั้งใจเมื่อเห็นน้องๆ สร้างพรรคการเมืองที่ดี ถ้าไม่ได้เสียง ส.ส.ก็กลับบ้าน กลับไปสู่ความสุขของผมที่วางแผนไว้หมดแล้ว แต่ถ้าได้เสียงสัก 25 เสียงก็คงปวดหัว (พรรคที่มี ส.ส. 25 คน ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มีสิทธิที่จะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้)
และตอนที่ผมออกจากรัฐบาลชุดที่แล้วก็ถือว่าเป็นการจากกันด้วยดี
