ประหนึ่งว่าการประชุม “ทางไกล” อันเป็นการประชุมนัดแรกโดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งหัวโต๊ะตรงไปยัง “ผู้ว่าราชการจังหวัด” ทั่วประเทศจะสำแดงเป้าหมายอันเด่นชัด
1 เด่นชัดซึ่งถือว่า “ผู้ว่าราชการจังหวัด” เป็น “ศูนย์กลาง” ในการเชื่อมประสานไปในขอบเขต “ทั่วประเทศ”
โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ “ประชาชน” ที่กำลังเดือดร้อนน้ำท่วม
ขณะเดียวกัน 1 เด่นชัดว่าต้องการสำแดงความเหนือกว่าต่อทุกกลไกในทางการเมืองที่ดำรงอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหนือกว่าต่อพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล
แต่พลันที่บังเกิดเสียงสำทับไปยัง “ผู้ว่าราชการจังหวัด” ในเรื่องของ การชูป้าย จึงไม่เพียงแต่ภาพการตรวจราชการในแบบเดิมก็กลายเป็นการเปรียบเทียบอันแหลมคม
หากแต่ยังสะท้อนถึงบางส่วนแห่ง “จิตใต้สำนึก” อันเป็น ID ที่ตกตะกอนนอนก้นนิ่งสนิทในทางการเมืองได้รับการกระพือขึ้นอย่างรวดเร็วในสภาพการณ์ปัจจุบัน
ยิ่งเป็นการพูดในห้วงเดียวกันกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กำลังตรวจสถานการณ์น้ำในอ่างทอง ชัยนาท ยิ่งมีความอ่อนไหว
เป็นความอ่อนไหวพร้อมกับคำชี้แนะในเรื่อง “ทรานซิสเตอร์”
หากไม่มีภาพของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เดินทางไปตาก ไปนราธิวาส ไปอุบลราชธานี ในห้วงของการทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีแต่ละคำพูดก็แทบไม่มีความหมายอะไรเลย
แต่เมื่อภาพการต่อสายสื่อไปยัง “ผู้ว่าราชการจังหวัด” บังเกิดพร้อมกับยอดคำเท่ว่าด้วย “ทรานซิสเตอร์”
ทุกอย่างจึงดำเนินไปในลักษณะเงาสะท้อนแห่ง “จิตเดิมแท้”
ต้องยอมรับว่าการไปพบประชาชนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แม้จะไปในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไปพร้อมกับการเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
ตรงกันข้าม การแต่งเครื่องแบบข้าราชการพลเรือนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันแรกที่หวนคืนสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมกับเทเลคอนเฟอเรนซ์ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด
เท่ากับเป็นการยึด “มหาดไทย” เป็น “ศูนย์บัญชาการ” ใหญ่
ภาพของ กระทรวงมหาดไทย ภาพของ ผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อนำมาวางเรียงเคียงกับกระบวนการเทเลคอนเฟอเรนซ์ มีความขัดแย้งกันโดยพื้นฐาน
กระนั้น ก็ยังเป็นความจริงในยุคแห่ง “ทรานซิสเตอร์”
เทียบไม่ได้เลยกับการเดินเข้าหา “ประชาชน” ในแบบของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เห็นในห้วง 1 เดือนอันแหลมคม
ภาพเปรียบนี้มีผลต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างไร
