จับสัญญาณการเมือง จัดทัพลุยสู้ศึกเลือกตั้ง
หมายเหตุ – ความเห็นที่มีต่อความเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง เปิดตัวแคนดิเดตชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี นำเสนอนโยบายอย่างคึกคักอยู่ในขณะนี้
สมชัย ศรีสุทธิยากร
ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบาย พรรคเสรีรวมไทย
และเป็นอดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
การปรับตัวของพรรคการเมืองแต่ละพรรค ผมมองว่าทุกคนดูถึงกฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ส.ว่าจะออกมาในรูปแบบใด ซึ่งขณะนี้ทุกฝ่ายอาจจะต้องเชื่อไปในทางว่า จะเป็นระบบการนับคะแนนแบบคู่ขนานหาร 100 ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ก็จะเกิดความได้เปรียบกับพรรคการเมืองขนาดใหญ่ เพราะพรรคขนาดใหญ่นอกจากได้ ส.ส.เขตแล้ว ก็จะมีโอกาสได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อแบบเป็นกอบเป็นกำ ดังนั้น ภายใต้ระบบนี้ พรรคการเมืองใหญ่ที่จะมีแนวโน้มชนะการเลือกตั้ง ก็คือพรรคเพื่อไทย จึงเกิดแนวโน้มที่ ส.ส.จะไหลเข้าสู่พรรคเพื่อไทยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยประเมินว่า พรรคนี้มีโอกาสที่จะจัดตั้งรัฐบาล คือเหตุผลประการที่ 1
เหตุผลประการที่ 2 เรื่องของ พล.อ.ประยุทธ์เอง ได้รับคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญว่าสามารถอยู่ต่อได้เพียงสั้นๆ หลังจากเลือกตั้งประมาณ 1 ปี 8 เดือน ซึ่งก็อาจจะเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่งที่จะเสนอต่อประชาชน รวมถึงเรื่องของการอยู่มานาน อาจจะทำให้คะแนนนิยมต่างๆ ลดน้อยถอยลง ทำให้เหมือนกับว่า ทาง ส.ส.อีกซีกฝั่ง อย่าง พปชร.ก็มีกระแสที่จะออกค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีการประเมินว่าคะแนนนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น ไม่ได้เป็นบวกอีกแล้ว ก็จะหาที่อยู่ใหม่กันเต็มไปหมด ดังนั้น แนวโน้มขณะนี้ พรรคการเมืองก็จะคิดอยู่ภายใต้กติกาของการเลือกตั้งบัตร 2 ใบ และสูตรหาร 100
สำหรับ โจทย์ที่พรรคการเมืองต้องเตรียม คงต้องมอง 2 ส่วน ส่วนที่ 1 คือ ส.ส.เขต จากความเป็นไปได้ ส.ส.เขตมีสัดส่วนที่ค่อนข้างเยอะ ถึง 400-500 คน ถ้าเป็นไปได้ ควรจะเตรียมผู้สมัครระดับเขตให้มีความพร้อมสูงสุด ในกรณีของพรรคการเมืองขนาดใหญ่นี้ มีโอกาสที่จะได้ผู้สมัครแถว 1 หรือได้รับการเลือกตั้งค่อนข้างมาก และ ส.ส.ไหลเข้าสู่พรรคนี้ กล่าวคือพรรคการเมืองขนาดใหญ่และพรรคการเมืองในระดับที่รองลงมา ในกรณีที่ไม่ได้แถว 1 ก็อาจจะเป็นแถว 2-3 ซึ่งเป็นการพยายามหาสิ่งที่จะเป็นการ “สร้างกระแสของพรรค” เพื่อที่จะมาสนับสนุนผู้สมัครในระดับเขต เพราะอย่างในการเลือกตั้งปี 2562 ก็บ่งบอกแล้วว่า แม้จะเป็นผู้สมัครระดับเขต หรือผู้สมัครระดับแถว 3-4 ก็ตาม แต่ถ้าหากมีกระแสของพรรคมาช่วยในการหาเสียง ก็จะช่วยได้มาก ยกตัวอย่างเช่น พรรคอนาคตใหม่ เราจะเห็นว่าผู้สมัครไม่ได้อยู่แถวที่ 1-2 ในการเลือกตั้งคราวที่ผ่านมา อยู่แถวที่ 3-4 เท่านั้น แต่ผลการเลือกตั้งที่ออกมา ก็ทำให้ได้เป็น ส.ส. ดังนั้น พรรคที่ได้ผู้สมัครไม่ใช่แถว 1-2 สิ่งต่อไปที่ต้องทำก็คือ การสร้างกระแส ซึ่งเป็น “กระแสส่วนกลาง” ที่จะช่วยให้ผู้สมัครแต่ละเขตมีโอกาสที่จะได้รับการเลือกตั้ง
ส่วนเรื่องของสภาพบรรยากาศ ทิศทางการเมืองตอนนี้ ผมคิดว่าเรื่องของนโยบายในขณะนี้ เป็นในเชิงของการเกทับซึ่งกันและกัน และในเชิงของการ “ประชานิยม” แต่ก็มีอยู่บ้างที่มีลักษณะของความคิดใหม่ๆ เกิดขึ้น โดยประสบการณ์ ผู้เลือกตั้งได้รับบทเรียนแล้วว่า หลักๆ ที่เป็นนโยบาย เมื่อถึงเวลาเข้าไปเป็นรัฐบาลแล้ว พอเป็นรัฐบาลผสมก็ไม่สามารถทำได้จริง และหลายนโยบายก็ยังมีข้อจำกัด ไม่สามารถทำได้ เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ ก็จะมีในเรื่องของ คณะกรรมการค่าจ้าง 3 ฝ่าย หรือไตรภาคี ที่จะต้องหารือกัน แล้วดูภาพต่างๆ ประกอบด้วย ดังนั้น จากบทเรียนที่ประชาชนรับรู้ คงคิดว่านโยบายเป็นรอง แต่เรื่องการที่จะเอาใครเป็นนายกฯ น่าจะเป็นเรื่องหลัก โดยเฉพาะกรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ลงแข่งขันด้วย ก็จะเกิดซีกที่ชัดเจน คือส่วนที่เอา พล.อ.ประยุทธ์ กับไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์
ท้ายที่สุด จะมีโอกาสได้เห็นตัวเลือกใหม่ๆ หรือไม่ ในกรณีของเพื่อไทยก็เริ่มที่จะเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ซึ่งความจริงก็รู้กันอยู่มานาน แต่เปิดตัวในช่วงดังกล่าวนี้ ก็เท่ากับเป็นการประเมินแล้วว่า ถึงจังหวะเวลาที่ต้องเปิด ก็จะพยายามสร้างความนิยมโดยค่อยๆ สร้างขึ้นไปเรื่อยๆ ให้ถึงจุดสูงสุดในการเลือกตั้ง นี่คือส่วนของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเราจะเห็นอย่างน้อยๆ 2 คน และ 1 ใน 2 คนนี้ 1 คนอาจจะเป็นตัวจริง อีกคนก็อาจจะเป็นเพียงแค่ “ของกลาง”
ส่วนพรรคการเมืองอื่นๆ แน่นอนว่า เขาก็ชูหัวหน้าพรรคของเขา แต่ประชาชนก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นตัวเลือกที่ดีนัก โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่อยู่ในซีกรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งเราจะเห็นบทบาทการบริหารในฐานะรัฐมนตรี เป็นบทบาทซึ่งประชาชนรู้สึกว่าโดดเด่นมาก ส่วน พปชร.ก็เป็นความลำบากใจว่าเขาจะเลือกใคร การมี พล.อ.ประยุทธ์เป็นหนึ่งในตัวเลือกก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะว่าแฟนคลับของ พล.อ.ประยุทธ์เองมีอยู่จำนวนหนึ่ง แม้ว่าพรรคนี้จะมีโอกาสไปแข่งขันเป็นรัฐบาล แต่ผมก็ไม่เชื่อว่าเขาจะเสนอ พล.อ.ประยุทธ์เป็นตัวเลือกในการโหวตในสภา เพราะจะเป็นการตัดสินใจเลือกที่เสียเปรียบมากเกินไป สมมุติว่าถ้าเลือกแล้วชนะจริง อีก 2 ปีก็ต้องเปลี่ยนใหม่ แล้วการเปลี่ยนใหม่ก็ไม่มีตัวเลือก ส.ว.เองก็หมดสิทธิในการเลือกนายกฯแล้ว ดังนั้น การที่จะเลือกคนซึ่งโอกาสอยู่ครบ 4 ปี น่าจะเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่า
ส่วนตัวเลือกใหม่ๆ ในการเลือกตั้ง ก็มีข่าวคราวอยู่ แต่เห็นว่ายังไม่เปิดตัว ณ จุดๆ นี้ ผมรู้สึกว่า พปชร.น่าจะเสียเปรียบแล้ว ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเริ่มทยอยเปิดตัวมาแล้ว พปชร.ก็ยังไม่ชัดเจนว่าใครจะมาเป็นคนที่ 3 ซึ่งจะมาเป็นความหวังให้ประชาชน
ผมรู้สึกว่าช้าเกินไปแล้ว
จุมพล ชื่นจิตต์ศิริ
นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
พรรคการเมืองต้องเตรียมให้เป็นพรรคการเมืองที่ทันสมัย นำเสนอประเด็นทางการเมืองที่คนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์และต้องมีการนำเสนอนโยบายให้เห็นเป็นรูปธรรม จับต้องได้และเป็นที่รับรู้ได้ในวงกว้างมากที่สุด ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้พรรคเป็นที่น่าสนใจและอยู่ในใจของประชาชนคือผลงาน และการทำงานร่วมกับประชาชนในพื้นที่
ดังนั้น หากพรรคการเมืองใด ที่มีทีมงาน มี ส.ส.มีว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.คลุกในพื้นที่ ทำงานร่วมกับประชาชนในพื้นที่ จนพรรคเองเป็นที่ไว้ใจเชื่อใจและเป็นที่รู้จัก จึงจะมีจุดขาย ในพื้นที่นั้นและเป็นตัวเลือกแรกๆ ในพื้นที่นั้นๆ แต่ตรงกันข้าม หากพรรคการเมืองใด ไม่เคยมีการพัฒนาร่วม ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับคนในพื้นที่ก็ถือว่ายาก ในการทำงานในอนาคต ซึ่งในประเด็นเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า ประชาชนมีความรู้ในทางการเมืองและรู้ทันการเมืองเพิ่มมากขึ้น
แต่อาจมีการตั้งคำถามสำหรับพรรคการเมืองใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน จะนำเสนอทางการเมืองอย่างไร พรรคเหล่านั้น ก็จะต้องหาตัวบุคคล ที่ทำงานเพื่อชุมชน เพื่อส่วนรวมมาเป็นสมาชิก เพื่อสร้างจุดขาย แม้อาจจะเสียเปรียบพรรคการเมืองที่อยู่มานาน แต่หากมีหลายองค์ประกอบครบ ก็มีพลังเพียงพอ ที่จะสามารถเข้าไปอยู่ในใจของพี่น้องประชาชนได้
ในส่วนของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่ได้มีการนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ นั้น มีบางคน บางพรรค ที่ได้มีการคัดสรรมาอย่างดี ก่อนจะเปิดตัวหน้าสื่อต่างๆ แต่บางคนบางพรรค ก็หามาจากทายาทนักการเมืองเดิมๆ ซึ่งจะได้ผลหรือไม่ เพราะการเมืองไม่ใช่การสืบทอดทางดีเอ็นเอ ที่สำคัญประชาชนมีความรู้ ความคิดในการตัดสินใจ
ส่วนคุณสมบัติที่ควรมี สำหรับว่าที่นายกรัฐมนตรีสมัยหน้า สิ่งหนึ่งที่ควรจะมีคือ บุคลิกภาพ ที่เป็นที่ต้องการของประชาชน ไม่ว่าจะมีความเป็นผู้นำ ที่จะให้ประชาชนเลือกเป็นผู้นำ ต้องเป็นผู้นำที่มีลักษณะที่ประชาชนอยากได้ เช่น การรับฟัง มากกว่าพูด การพูดก็พูดในประเด็นที่มีสาระสำคัญ นอกเหนือจากคุณสมบัติในเรื่องของความรู้ความสามารถในเชิงเศรษฐกิจ การต่างประเทศ
ทัศนัย เศรษฐเสรี
อาจารย์คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.)
กรณีพรรคการเมืองทยอยเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอประชาชนในการเลือกตั้ง ส.ส.สมัยหน้า ส่วนตัวไม่ติดใจตัวบุคคล ไม่ว่าพรรคไหนชูใครเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องให้ความสำคัญเรื่องกรอบความคิด เพื่อนำเสนอนโยบายที่ตอบสนอง หรือตอบโจทย์ประชาชนได้ ไม่ใช่นโยบายเพ้อฝัน ซึ่งกรอบคิดดังกล่าวต้องอยู่ภายในความเป็นอิสระ มีเสรีภาพ เพื่อนำไปสู่การกระจายอำนาจและปฏิรูประบบราชการ ดังนั้น ต้องแก้ปัญหาที่รากเหง้า ถ้าไม่แก้ที่ต้นเหตุ จะกลายเป็นน้ำเน่า นำไปสู่วงจรการเมืองอุบาทว์ ที่แสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ให้พวกพ้องเท่านั้น
กรณีพรรคเพื่อไทย (พท.) ชู นายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจ เป็นว่าที่นายกฯ ลำดับ 1 และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย บุตรสาวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ลำดับที่ 2 ถือเป็นตัวละครใหม่ที่เข้าสู่การเมืองเต็มตัว ส่วนพรรคก้าวไกล (ก.ก.) อาจชู นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ตอบโจทย์เยาวชน หรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อาจเสนอเป็นนายกสมัยหน้า นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยหน้าค่อนข้างน้อย เนื่องจากไม่ได้ทำตามนโยบายที่สัญญาไว้กับประชาชน และแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ ประชาชนให้โอกาสมามากแล้ว ถือว่าหมดเวลาที่ขึ้นเป็นผู้นำประเทศในอนาคต
นายกรัฐมนตรี ที่เป็นผู้นำรัฐบาลในอนาคต ต้องกล้าตัดสินใจแก้รัฐธรรมนูญปี 60 โดยเฉพาะที่มาของนายกรัฐมนตรี และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 250 คน พร้อมปฏิรูประบบราชการเชิงโครงสร้าง รวมทั้งองค์กรอิสระไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจนิยม หรือชนชั้นสูง ต้องเป็นอิสระ ไม่ถูกครอบงำหรือชี้นำจากใครเพื่อสร้างความศรัทธา ความเชื่อมั่น
ให้กลับคืนมา ที่สำคัญต้องมีนโยบายให้ประชาชนมีส่วนร่วม ตรวจสอบการบริหารของรัฐบาลได้ พร้อมเปิดกว้างรับฟังปัญหาประชาชนแท้จริง อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯแต่ละพรรค ทุกพรรคมีสิทธิใครเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ อยากให้ประชาชนหรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งเปิดกว้างรับฟังแนวคิด และนโยบายใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ประชาชน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม โดยไม่ยึดติดกับพรรค หรือนักการเมืองหน้าเก่า แต่ควรให้โอกาสคนรุ่นใหม่ ที่อาสานำประเทศไปสู่การพัฒนาแบบยั่งยืน
เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น เพราะประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเลือกตั้งเร็วที่สุด เพื่อเปลี่ยน หรือสร้างประวัติศาสตร์การเมืองใหม่เกิดขึ้น ดังนั้น ประชาชนต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ไม่นานคงได้รู้คำตอบ