⦁…“ชนชั้นใดเขียนกฎหมาย ก็เพื่อประโยชน์ของชนชั้นนั้น” เป็น “สัจธรรม” ที่รับรู้กันในแวดวง “ผู้ศึกษาวิชากฎหมาย” การเมืองเป็นเรื่องอำนาจ และ “สัจธรรมคืออำนาจมาพร้อมกับผลประโยชน์” ดังนั้น หากอยากรู้ว่า “นับแต่นี้คนกลุ่มไหนจะควบคุมผลประโยชน์ของชาติ” ให้ดูจาก “กฎหมายที่ร่างกันขึ้นใหม่” ว่า “เปิดทางอำนาจให้คนกลุ่มไหน และเหยียบคนกลุ่มไหนไม่ให้โงหัว” แน่นอนสำหรับ “โลกยุคผลประโยชน์คือพระเจ้า” ดูทิศดูทางเพื่อ “วางกำลังเส้นทางการเดินในสังคมนี้ให้ถูกจริตของแต่ละคน”
⦁…เป็น “ธรรมดา” ของ “สังคมยุคที่คบหาสมาคมกันเพื่อผลประโยชน์แลกเปลี่ยน” ดูจาก “กฎหมายที่ร่างกันขึ้นมา” จะเห็นว่า “คนกลุ่มใดจะได้รับการรุมล้อม” และ “คนกลุ่มไหนที่ผู้คนจะค่อยๆ หนีห่าง” ยิ่งเป็น “กฎหมายที่มุ่งควบคุมและเอาผิดกันครอบคลุมกว้างขวาง” คนฉลาดเอาตัวรอดที่ไหนจะไม่หนีห่าง “กลุ่มคนที่กฎหมายเขียนขึ้นเพื่อเหยียบให้จมธรณี”
⦁…ที่สุดแล้ว “ระบอบประชาธิปไตย” ที่หลักการสากลอยู่ที่ “เชิดชูอำนาจประชาชน” สำหรับประเทศไทยจะ “ก้าวไปแบบไหน” ขึ้นอยู่กับ “ทัศนคติ” ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังร่าง “กฎหมายลูก” อย่างสนุกสนานในนามของ “การออกแบบอนาคตให้ประเทศชาติ” หากใครอยากรู้ว่า “โอกาสจะเอื้อให้กับใคร” ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะที่ สมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้ “ทำท่าคุณสมบัติจะไม่พอทำหน้าที่ต่อ” บอกไว้ว่า “กระบวนการคิดเป็นนวัตกรรมฟุ้งซ่าน” นั้น “น่าพิจารณา” ไม่น้อย
⦁…เป็นตัวเลขที่ชวนให้ “ระทึกในหทัยพลัน” เมื่อ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา เปิดออกมาว่า “ผู้อยู่ในข่ายการสอบสวนเพื่อหาคนรับผิดชอบชดใช้โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลชุดที่แล้ว” มีถึง “6,000 คน” เป็นจากเครือข่ายนักการเมืองคือ “รัฐมนตรี” และ “อนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง” รวม “2,000 คน” เป็น “ข้าราชการจากกระทรวงต่างๆ” รวม “4,000 คน” และยังมีภาคเอกชน “ไม่ว่าจะเป็นโรงสี” และ “ผู้เกี่ยวข้องอื่น” ที่กำลังรวบรวมรายชื่ออยู่ ท่ามกลางการดำเนินการที่ “เห็นชัดๆ ว่าเข้มข้น” จึงเป็นเรื่องที่ “หนาวด้วยอาการเสียวสันหลังกันทั่วหน้า” และผลจากกรณีนี้จะก่อให้เกิดความคิด “นับจากนี้ไม่ว่าใครระดับไหนจะทำอะไร ล้วนไม่รอดจากความรับผิด”
⦁…จากความคึกคักที่ใครต่อใคร ไม่ว่าจะเป็น “หน่วยงานรัฐ” หรือ “เอกชน” แม้กระทั่ง “นักการเมืองกลุ่มต่างๆ” ได้ยื่นมือเข้ามา “ช่วยชาวนารับซื้อข้าวมาเปิดขาย” กันถ้วนทั่ว และทำให้เห็นว่า หาก “ลดการครอบงำของพ่อค้าคนกลางไปได้” ไม่ใช่ “ชาวนาขายข้าวได้ราคาดีขึ้น” เท่านั้น แต่ “ผู้บริโภคยังซื้อข้าวได้ง่ายขึ้นและถูกลง” ผลของ “ความช่วยเหลือ” ครั้งนี้มีโอกาสสูงยิ่งที่ “โครงสร้างธุรกิจข้าว” จะเปลี่ยนไปสู่ “ใครก็เป็นพ่อค้าข้าวได้”
⦁…เราเห็นภาพ “แผงขายพืชผลการเกษตร” โดยเฉพาะ “ผลไม้ริมถนน” เห็น “รถกระบะ” ไปรับซื้อจาก “ไร่สวน” มาตระเวนขาย “ลองกอง ทุเรียน ขนุน น้อยหน่า มะพร้าว มังคุด ส้ม เงาะ และอะไรต่ออะไร” จากนี้ด้วย “เทคโนโลยีการสีข้าว” ที่ง่ายขึ้น “โรงสีราคาถูกและมีคุณภาพ” ระดับที่ “ใครจะเป็นเจ้าของได้” จะทำให้ชาวนาไม่ต้องถูก “ผูกขาดรับซื้อจากใคร” พร้อมทั้ง “คนขาย” ก็ไม่ “ผูกขาด” จะทำให้ “ข้าว” เป็นพืชผลการเกษตร ที่เชื่อมต่อระหว่าง “ชาวนาผู้ผลิต” กับ “ประชาชนผู้บริโภค” ได้ง่ายขึ้น เพียงแต่ว่า “การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจ” ที่สะเทือนต่อ “กลไกผูกขาดผลประโยชน์มหาศาลนี้ น่าจะมีแรงต้านที่รุนแรง”
⦁…ฟัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะ “นายกรัฐมนตรีอำนาจเต็ม” พูดถึง “การแก้ปัญหาระยะยาวของชีวิตชาวนา” ว่าต้องทำที่ “ต้นทาง” แล้วมีความหวัง เพราะ “ต้นเหตุที่แท้ของปัญหานี้” คือ “การผูกขาด” ที่เกิดจากทั้ง “กฎหมาย” และ “อิทธิพลของทุน” หาก “รื้อกติกาว่าด้วยการค้าข้าว” ไม่ให้ “ผูกขาดความเป็นพ่อค้าไว้ที่คนกลุ่มหนึ่ง” หาทาง “เคลียร์อิทธิพลของทุน” ที่ “ผูกขาดชาวนาไว้กับหนี้สิน” เปิดให้ “ทำธุรกิจข้าวได้อย่างเสรีตั้งแต่ปลูกจนขาย” จะทำให้ “อำนาจเต็ม” สร้าง “ชีวิตใหม่ให้ชาวนาไทย” ได้ เพียงแต่จะต้อง “เข้าใจลึกซึ้งถึงพื้นฐานธุรกิจข้าว” แทนที่จะ “ติดกับดักข้ออ้างให้เดินตามผลประโยชน์ของพ่อค้า”
⦁…ว่าไป “นักการเมือง” ที่ “ภาพลักษณ์ตกต่ำในศรัทธาประชาชน” กันทั่วหน้า ควรจะเป็นตัวตั้งตัวตี เพื่อเคลียร์ปัญหานี้ จึงเกิดความรู้สึกประหลาดยิ่งที่ “นักการเมืองหลายคน” จาก “บางพรรค” เลือกที่จะรับบท “เห่าหอน” ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง โดยไม่สนว่าจะทำให้สังคมดูถูกดูแคลนไม่เลิกรา
ชโลทร