เกียรติภูมิการทูตไทย!

เห็นได้ชัดว่านับจากรัฐประหาร 2014 (พศ. 2557) เป็นต้นมา หนึ่งในปัญหาเชิงนโยบายของรัฐบาลที่นำโดยผู้นำทหารไทยคือ “เกียรติภูมิด้านการต่างประเทศ” ที่ตกต่ำลง เพราะรัฐประหารเป็นสัญญาณของการพารัฐไทย “ฝ่ากระแสโลก” ที่ไม่เห็นด้วยกับการปกครองของระบอบทหาร อีกทั้ง เมื่อใดที่เกิดปัญหาในทางสากล รัฐบาลไทยมักจะไม่แสดงออกเชิงนโยบายในการสนับสนุนทิศทางของกระแสโลกที่เป็นเสรีนิยม ไม่ว่าจะเป็นการแสดงท่าทีคัดค้านรัฐบาลทหารเมียนมา หรือคัดค้านนโยบายขยายสงครามของรัสเซียในยูเครน

นโยบายการต่างประเทศรัฐไทยจากรัฐประหารจนถึงปัจจุบัน จึงเสมือนกับการพาตัวเองให้ “หายไปจากเวทีโลก” และเชื่อว่าการไม่มี “บทบาทอย่างสร้างสรรค์” ในเวทีโลก จะทำให้ผู้นำไทย “อยู่สบาย” และไม่จำเป็นต้องคิดในเรื่องการต่างประเทศ และถ้าต้องตัดสินใจแล้ว วิธีที่ง่ายที่สุดคือ การ “งดออกเสียง”

ดังนั้น การลงเสียงในญัตติยูเครนของผู้แทนประเทศไทยในเวทีสหประชาชาติในช่วงหลัง จึงเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ไม่ยาก แม้การลงเสียงเรื่องนี้ในครั้งแรก ไทยจะออกเสียงประณามรัสเซียจากปัญหาสงครามที่เกิดขึ้นก็ตาม แต่หลังจากนั้นแล้ว ทิศทางการทูตไทยเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง … ผู้แทนไทยลงมติแบบงดออกเสียงโดยตลอด จนอาจกล่าวแบบเดาได้เลยว่า ไทยจะงดออกเสียงในทุกประเด็นของญัตติยูเครนในอนาคต

แต่หากรัฐบาลไทยยึดกฎหมายระหว่างประเทศเป็นพื้นฐานของการพิจารณาปัญหาแล้ว หลักการ “อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน” เป็นประเด็นสำคัญที่รัฐทุกรัฐทั่วโลกให้ความเคารพ อันมีนัยว่า รัฐทั้งหลายจะไม่ยอมรับการผนวกดินแดนที่เกิดขึ้นโดยการใช้กำลัง เพราะการใช้กำลังเพื่อยึดครองดินแดนของรัฐอธิปไตยอื่นถือเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งหลักการนี้เป็นสิ่งที่นักเรียนทุกคนในวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศถูกสอนให้ตระหนักเป็นเบื้องต้น เพราะการยอมรับการละเมิดอธิปไตยแห่งรัฐคือ การยอมรับว่ารัฐใหญ่สามารถใช้กำลังยึดดินแดนของรัฐเล็กได้ ดังเช่นที่กำลังเกิดขึ้นจากการใช้กำลังของรัสเซียผนวกดินแดนของยูเครน … หรือรัฐไทยกำลังหันหลังให้กับหลักการในกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว!

Advertisement

แต่กระทรวงการต่างประเทศไทยให้เหตุผลอย่างน่าสนใจว่า การงดออกเสียงจะช่วยให้เกิด “ข้อมติที่สันติและปฎิบัติได้จริง” และย้ำว่าการประณามรัฐผู้รุกรานจะ “ลดทอนโอกาสของการมีปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์” ซึ่งดูจะเป็นสิ่งที่ย้อนแย้งในสถานการณ์สงครามอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม การผนวกดินแดนที่กองทัพรัสเซียใช้กำลังบุกเข้ายึดครองตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นที่ยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ และถูกต่อต้านอย่างมาก ซึ่งแตกต่างกับกรณีการผนวกไครเมียในปี 2014 อย่างสิ้นเชิง เพราะครั้งนั้น ฝ่ายตะวันตกอาจจะตั้งตัวไม่ติด อันเนื่องมาจากการรุกเข้ายึดพื้นที่ของกองทัพรัสเซียเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่การผนวกดินแดนครั้งนี้ เกิดในสถานการณ์สงครามที่มีการรบติดพัน และมีเสียงคัดค้านในเวทีโลกอย่างมาก อีกทั้งการผนวกดินแดนเกิดขึ้นในภาวะที่กองทัพรัสเซียเป็นฝ่ายถอยร่น

แม้รัฐบาลรัสเซียจะสร้างภาพด้วยการ “ทำประชามติ” เพื่อแสดงให้ชาวโลกเห็นว่า ชาวยูเครนในดินแดนยึดครองต้องการมาอยู่กับรัสเซีย แต่ภาพที่ปรากฏออกในสื่อต่างๆ ทำให้เกิดคำถามว่า การลงประชามติครั้งนี้ เป็นไปด้วยความสมัครใจ หรือเป็นการถูกบังคับ ซึ่งสำหรับรัฐบาลยูเครนและรัฐบาลของประเทศตะวันตกแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นถูกเรียกว่า “ประชามติปลอม” และนำไปสู่การผลักดันประเด็นนี้เข้าสู่เวทีสหประชาชาติ

Advertisement

ดังนั้น ในฐานะสมาชิกของสหประชาชาติแล้ว การผนวกดินแดนของยูเครนในภาวะสงครามย่อมต้องถือว่าเป็นประเด็นสำหรับรัฐบาลไทยด้วย สิ่งที่ต้องทำเพื่อแสดงถึง “ความรับผิดชอบ” ของความเป็นประเทศที่เคารพในหลักการไม่ละเมิดอธิปไตยแห่งรัฐ คือ ไทยในฐานะ “รัฐสมาชิกที่มีความรับผิดชอบ” ควรแสดงออกถึงจุดยืนต่อต้านในเรื่องนี้ให้ชัดเจน ซึ่งรัฐบาลไทยเองได้ยึดถือหลักการในเรื่องนี้มาโดยตลอด

ตัวอย่างสำคัญเช่น ในช่วงที่ผ่านมาของสงครามเวียดนาม-กัมพูชา ที่เวียดนามได้เข้ายึดครองกัมพูชาตั้งแต่ปี 1979 นั้น ไทยได้รณรงค์อย่างแข็งขันที่จะให้ชาติสมาชิกอาเซียนและประชาคมระหว่างประเทศสนับสนุน “หลักการไม่ละเมิดอธิปไตย” ซึ่งนำไปสู่การต่อต้านการยึดครองดินแดนของกัมพูชาโดยกองทัพเวียดนามในช่วงเวลาดังกล่าว ฉะนั้น การผนวกดินแดนของยูเครนบางส่วนโดยรัสเซียในปัจจุบันซึ่งไม่แตกต่างกับการละเมิดหลักอธิปไตยดังที่กล่าวแล้ว แต่ท่าทีของไทยวันนี้กลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งอาจตีความได้ว่า

1) รัฐบาลไทยรู้สึก “เกรงใจ” รัฐบาลจีนและรัสเซีย อันเป็นผลจากการสนับสนุนทางการเมืองในยุคหลังรัฐประหาร 2014 (2557) อันทำให้ผู้นำไทยไม่อาจลงเสียงสวนทางกับผลประโยชน์ของรัฐทั้งสองได้เลย

2) รัฐบาลไทยต้องการ “ซื้อใจ” ผู้นำรัสเซียให้มาร่วมประชุมเอเปคที่กรุงเทพ ประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อ “หน้าตา” ทางการทูตของไทย ดังนั้น การลงเสียงของไทยในปัญหายูเครนจึงต้องไม่ขัดแย้งกับรัสเซีย

3) ผู้นำไทยในปัจจุบันเชื่อว่า ไทยไม่จำเป็นต้องไปในทิศทางเดียวกับกระแสโลก และไทยไม่จำเป็นต้องยอมรับกระแสโลก เพราะไทยได้ “หันหลัง” ให้กับกระแสโลกไปแล้วด้วยการรัฐประหาร

4) ผู้นำและคนในสังคมไทยบางส่วนมีความเชื่ออย่างง่ายๆ ว่า การงดออกเสียงแปลว่า รัฐบาลไทยมี “ความเป็นกลาง” ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ แต่การไม่ออกเสียงอาจถือเป็นการออกเสียงในอีกรูปแบบหนึ่ง คือเป็นการยอมรับต่อการผนวกดินแดนในแบบไม่คัดค้านโดยตรง

5) รัฐบาลกรุงเทพไม่ตระหนักว่า การงดออกเสียงในปัญหายูเครนอาจถูกตีความว่าไทยลงเสียงทางเดียวกันกับจีน ซึ่งผู้นำรัฐบาลทหารในยุคหลังรัฐประหาร 2014 มีท่าทีที่ไปใกล้ชิดกับปักกิ่งและมอสโคว์อยู่แล้ว

ในสุดท้ายนี้ เราคงปฎิเสธไม่ได้ว่าผลสืบเนื่องการใช้วิธีงดออกเสียงในเวทีสหประชาชาติกำลังกลายเป็นเครื่องบั่นทอน “เกียรติภูมิทางการทูต” ของรัฐบาลไทยอย่างมาก เพราะเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณว่า รัฐไทยยอมรับการละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดน แม้รัฐบาลไทยจะออกแถลงการณ์เพื่ออธิบายถึงมูลเหตุของการงดออกเสียง แต่แถลงการณ์กระทรวงการต่างประเทศดูจะเป็นการสร้างความสับสนมากกว่า ทั้งในเชิงภาษาและเนื้อหา เนื่องจากตัวเนื้อหาเองก็มีความย้อนแย้งกันอยู่พอสมควร

อาจมีข้อโต้แย้งว่า ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีลาวและเวียดนามที่งดออกเสียง แต่นั่นเป็นเพราะประเทศทั้งสองได้รับความช่วยเหลืออย่างมากจากสหภาพโซเวียตเดิมในยุคสงครามปฎิวัติ หรือการงดออกเสียงของกลุ่มประเทศในแอฟริกา เป็นผลมาจากการต้องพึ่งพาพลังงานและธัญพืชจากรัสเซีย เป็นต้น แต่รัฐไทยไม่ได้อยู่ในสถานะเช่นนั้น จึงทำให้ไม่อาจตีความได้เป็นอื่นได้ นอกจากไทยกำลังพาตัวเองออกจากกระแสโลก เพราะผู้นำและกลุ่มที่มีอำนาจในสังคมการเมืองไทยมีความเชื่อว่า “กระแสโลกเป็นกระแสตะวันตก” และไทยจะหันไปเกาะ “กระแสตะวันออก” ที่ขับเคลื่อนโดยจีนและรัสเซียแทน และหวังเป็นที่สุดว่า ประธานาธิบดีปูตินและอาจรวมถึงประธานาธิบดีสีจิ้นผิงจะมาร่วมสร้าง “ความยิ่งใหญ่” ให้แก่วงการทูตไทยในเวทีเอเปคที่กรุงเทพฯ

แต่ความยิ่งใหญ่ของการจัดงานเอเปคเช่นนี้กำลังต้องแลกด้วยการ “หลับตา” ของรัฐบาลไทยต่อปัญหาการละเมิดบูรณภาพดินแดนและการสังหารประชาชนยูเครน ถ้าเช่นนั้นแล้ว รัฐบาลกรุงเทพจะต้อง “หลับตา” ไปอีกนานเท่าใดในวิกฤตโลกปัจจุบัน หรือว่า … งานการทูตไทยกำลังถูกใช้เป็น “เบี้ย” เพื่อแลกกับการชวนผู้นำรัฐมหาอำนาจบางประเทศมางานเอเปคเท่านั้นหรือ?

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image