ถอดรหัสบันได 4 ขั้น
ดึงเรตติ้ง-สกัดแพแตก
หมายเหตุ – มุมมองนักวิชาการในประเด็นข้อเสนอ นายวีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ และกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คือ 1.เซ็นเข้าเป็นสมาชิกทันที 2.นัดประชุมและตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค 3.นัดประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค เพื่อเขียนนโยบายที่โดนใจประชาชน 4.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรค แถลงนโยบายร่วมกันเพื่อเตรียมพร้อมลงสนามเลือกตั้ง เป็นต้น
โอฬาร ถิ่นบางเตียว
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
หากดูบทบาทที่ผ่านมา นายวีระกรพยายามจะเชียร์ พล.อ.ประวิตรให้นั่งนายกฯ แต่เมื่อมาประเมินแล้วในพรรค พปชร.มีอยู่ 2 ขั้ว คือขั้วที่เชียร์ พล.อ.ประวิตรก็พวกเขา ส่วนอีกขั้วหนึ่งคือ พล.อ.ประยุทธ์ จึงมีความกังวลใจว่าถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่อยู่และย้ายไปอยู่พรรคอื่น ที่สำคัญ ส.ส.ในพรรค พปชร.ส่วนหนึ่งอาจจะย้ายไปพรรคภูมิใจไทย (ภท.) จึงจำเป็นจะต้องรักษาสถานะของพรรค พปชร.เอาไว้ก่อน อย่างที่พูดเอาไว้หากไม่ร่วมมือกันพรรคอาจจะตกเป็นอันดับ 2 จึงจำเป็นจะต้องร่วมมือกันและคงสภาพมี 2 ปีก คือปีกของ พล.อ.ประยุทธ์ กับปีกของ พล.อ.ประวิตร แต่เงื่อนไข พล.อ.ประยุทธ์จะต้องเข้ามาสู่การเมืองจริงๆ
ประเด็นที่น่าคิด แล้วใครจะเป็นนายกฯ และจะทำอย่างไร หากเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ จะดำรงตำแหน่งได้ 2 ปี หลังจากนั้นต้องเปิดทางให้ พล.อ.ประวิตร
เชื่อว่าลึกๆ แล้วนายวีระกรเป็นผู้มีประสบการณ์ทางการเมือง คิดว่าต้องการใช้ฐานอำนาจทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์เพื่อให้พรรค พปชร.เป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ในใจลึกๆ อยากเชียร์ พล.อ.ประวิตรมากกว่า อาจจะมีการเสนอรายชื่อ พล.อ.ประวิตรเป็นแคนดิเดตนายกฯในโค้งสุดท้าย เพราะในทางการเมืองสามารถเสนอชื่อได้ทั้ง 2 เพื่อให้แฟนคลับแต่ละคนตัดสินใจเลือก แต่ในที่สุดเมื่อมีการลงมติแล้วอาจจะให้ พล.อ.ประวิตรนั่งตำแหน่งนายกฯ ส่วนจะสร้างความศรัทธาให้กับประชาชนหรือไม่นั้น ผมมองว่าพรรค พปชร.ไม่สนใจอยู่แล้ว แต่ทำอย่างไรเท่านั้นเพื่อจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ ภายใต้กลไกทางการเมืองที่มีอยู่คือ บรรดา ส.ส.หรืออาจจะร่วมมือกับพรรคร่วมรัฐบาล ที่สำคัญยังมี ส.ว.ที่ พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตรสามารถส่งสัญญาณให้คนเหล่านี้ยกมือโหวตได้
ส่วนการออกนโยบายใหม่ หาก พล.อ.ประยุทธ์เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคผมว่าเป็นการประเมินประชาชนต่ำมาก มองว่าเป็นเพียงขายฝันเท่านั้น ขายคำพูด ขายวาทกรรม แต่ในความเป็นจริง ความศรัทธาของประชาชนกับพรรค พปชร.ถดถอย และช่วงนี้ตกต่ำมาก แต่พรรค พปชร.เชื่อในกลไกว่าจะทำให้รักษาอำนาจได้ หากเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคเชื่อว่าการที่เข้ามาสังกัดพรรคในครั้งนี้ เป็นการจัดสรรผลประโยชน์ ที่สำคัญขอให้ได้อำนาจก่อน และเชื่อว่าอำนาจที่มีอยู่สามารถจัดการผลประโยชน์ทางการเมืองให้กับกลุ่มต่างๆ ในพรรค พปชร.ได้อย่างแน่นอน อย่าลืมว่าคนในพรรค พปชร.เป็นนักการเมือง เล่นการเมือง ไม่มีความขัดแย้งที่แท้จริง แต่เป็นความขัดแย้งในเรื่องการต่อรองผลประโยชน์ทั้งสิ้น
ด้านกระแส ส.ส.พรรค พปชร.จะไหลไปอยู่พรรคการเมืองอื่น มองว่าเป็นเรื่องที่นายวีระกรกังวลใจ เพราะมองแล้วในพรรค พปชร.ยังมีกลุ่มก้อนของ พล.อ.ประยุทธ์ หากไม่ดึงเอาไว้อาจจะส่งผลให้ ส.ส.ในกลุ่มของ พล.อ.ประยุทธ์ย้ายไปอยู่พรรคการเมืองอื่น ทำให้อำนาจการต่อรองของพรรค พปชร.ลดลง หากจะมีบทบาทกลายเป็นพรรคร่วมรัฐบาลจะทำให้ตกต่ำมาก จึงพยายามที่จะรักษาสัมพันธภาพนี้เอาไว้เพื่อรักษาฐานอำนาจการต่อรองของพรรค ถ้าหากเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลก็จะรักษาฐานอำนาจไว้ได้ การที่กล่าวว่าหากทั้ง 2 พล.อ.ไม่สามารถรวมตัวกันได้อาจจะเหมือนกับพรรคสามัคคีธรรม มองว่าจะเป็นไปได้ โดย ส.ส.อาจจะแตกสานซ่านเซ็นหลายกลุ่ม หลายพรรคการเมือง ก็จะเปิดทางให้พรรคที่มีความพร้อมมากกว่าเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยที่น่าจับตามอง ส่วนกรณีที่มีการบีบบังคับให้ พล.อ.ประยุทธ์เข้าเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐในวันที่ 18 ตุลาคม มองว่ากลัวพรรคพลังประชารัฐจะแตกมากกว่า จึงได้บังคับให้รีบเข้ามาก่อนเพื่อลดเงื่อนไขหลายๆ กลุ่มภายในพรรค แต่หากมาเป็นสมาชิกพรรค พปชร.อาจจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ เพราะที่ผ่านมาอยู่เหนือนักการเมือง และนักการเมืองก็ให้ความเคารพนับถือ หากกลับเข้ามาโดยเป็นสมาชิกพรรค พล.อ.ประยุทธ์จะกลายเป็นนักการเมืองที่อาจถูกนักการเมืองขย้ำเอาง่ายๆ
จุมพล ชื่นจิตต์ศิริ
นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
มองว่าในการให้สัมภาษณ์เช่นนี้น่าจะเป็นการโยนหินถามทางมากกว่า ว่าหากดำเนินการตามบันได 4 ขั้นแล้วผลจะเป็นบวกหรือเป็นลบ แต่ผมประเมินแล้วมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่น่าจะทำตามแนวคิดที่ว่ามาทั้ง 4 ขั้นตอน โดยเฉพาะการที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์สมัครเป็นสมาชิกพรรค พปชร. เพราะหากจะเป็นสมาชิกพรรคคงจะเป็นมานานแล้ว แต่หาก พล.อ.ประยุทธ์จะตัดสินใจทำตามแนวคิดนั้นจริงๆ จะมีผลบวกหรือลบนั้น คิดว่าไม่มีผลบวกใดๆ เพราะต้องยอมรับว่า พล.อ.ประยุทธ์นั้นไม่ได้เป็นสินค้าที่ขายได้อีกต่อไป คนที่ชอบก็ยังชอบ คนที่ไม่ชอบก็ยังเหมือนเดิม ยังเหลือคนที่อยู่กลางๆ ที่ว่าจะพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนั้น จึงมองว่าบันได 4 ขั้นที่ว่าเป็นการคิดของคนพูดเองมากกว่า ไม่ได้คิดจากสถานการณ์ในอนาคตจริงๆ ไม่ได้คิดในมิติอื่นๆ คิดเฉพาะมิติทางการเมืองอย่างเดียว ในอนาคตจะคิด หรือจะดูเฉพาะมิติทางการเมืองอย่างเดียวไม่ได้ ยังต้องดูมิติอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นมิติทางสังคม มิติทางเศรษฐกิจ
ดังนั้น จึงคิดว่าบันได 4 ขั้นจึงเป็นเพียงการโยนหินถามทาง ต้องการดูกระแสคนในพรรค นอกพรรค และอาจเป็นการทำให้คนในพรรค พปชร.ไม่หนีไปอยู่ที่อื่น ส่วนตัวมองว่าถึงอย่างไรนายกฯคงจะไม่เข้าสังกัดพรรค พปชร. โดยบุคลิกแล้วนายกฯไม่ใช่คนที่จะทำตามคำสั่ง หรือเดินตามแนวคิดของใคร พยายามเดินเกมเองมากกว่า คิดเองมากกว่า จึงมองว่าไม่ได้มีความเป็นไปได้ แต่ถ้าหากจะเป็นไปได้จริงก็ยังไม่เห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น แถมยังเป็นโทษ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์จะกลายเป็นนักการเมืองเต็มตัว หรือ แม้จะทำตามบันได 4 ขั้นนี้แล้วอะไรที่จะมั่นใจได้ว่าจะชนะการเลือกตั้ง หรือชนะพรรคการเมืองอื่นๆ มีอะไรที่บ่งบอก หรือบ่งชี้ว่าจะชนะ ซึ่งเอาจริงๆ ปัจจัยที่จะทำให้ชนะการเลือกตั้งต้องมีหลายอย่างมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม แม้มีลักษณะที่ทหารเข้ามาทำการเมืองจะมีตัวอย่างของพรรคสามัคคีธรรมแล้ว แต่คิดว่าในยุคนี้ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร ย่อมจะต้องมีแนวทางที่ทำอย่างไรจะไม่ให้เหมือนในอดีตอย่างแน่นอน
ชัยธวัช เสาวพนธ์
นักวิชาการอิสระ จ.เชียงใหม่
มีความเป็นไปได้สูง เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์มีความสนิทสนมใกล้ชิด พล.อ.ประวิตรอย่างมาก เคยโอบกอดหยอกล้อ พล.อ.ประวิตร และพูดว่าต้องง้อทุกวันอยู่แล้ว จึงเป็นภาพที่แสดงออกชัดเจนว่า พล.อ.ประยุทธ์ต้องอยู่กับพรรค พปชร.เท่านั้น ไม่สามารถตั้งพรรคใหม่ หรือย้ายไปสังกัดพรรคอื่นได้ ถ้าทำอย่างนั้นถือเป็นการฆ่าตัวตาย จบเห่ทางการเมือง ไม่มีโอกาสกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก ดังนั้น การเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตรจับมือและถือธงนำสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นสัญญาณสะท้อนว่าพรรค พปชร.ใกล้แตก เพราะ ส.ส.หลายจังหวัดหนีไปสังกัดพรรคอื่น ส่งผลให้เลือดไหลออกไม่หยุด ดังนั้น ข้อเสนอดังกล่าวเพื่อห้ามเลือดไหลออก โดยชูบุคคลทั้งสองเป็นผู้นำพรรคอย่างแท้จริงเพื่อสกัดแลนด์สไลด์พรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพราะภาพ พล.อ.ประยุทธ์ยังขายได้ เนื่องจากมีชนชั้นนำ หรืออำนาจนิยมสนับสนุนอยู่ ส่วนตัวเชื่อว่า พรรค พปชร.อาจชู พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกฯลำดับ 1 พล.อ.ประวิตรลำดับ 2 และนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง อาทิ นายสารัชถ์ รัตนาวะดี นักธุรกิจด้านพลังงาน เป็นแคนดิเดตลำดับ 3 เนื่องจากเป็นผู้สนับสนุนพรรค พปชร.มาโดยตลอด ส่งผลให้ภาพลักษณ์พรรค พปชร.ในสายตาประชาชนและนักลงทุนต่างชาติดีขึ้น เนื่องจากประสบความสำเร็จทางธุรกิจและติดอันดับมหาเศรษฐีไทยในลำดับต้นๆ
จากสถานการณ์ดังกล่าวเชื่อว่าพรรค พปชร.กำลังแก้ปัญหาเลือดไหลออก ถ้าแก้ไม่สำเร็จภายใน 3 เดือนตามข้อเรียกร้องนายวีระกรอาจนำไปสู่แพแตก หรือพรรคล่มสลายเหมือนกับพรรคสามัคคีธรรมที่เคยเป็นพรรคทหารในอดีต และซ้ำรอยประวัติศาสตร์ เพราะไม่เคยถอดบทเรียนแก้ไขปรับปรุง หรือพัฒนาพรรคเพื่อตอบสนองความต้องการ หรือโจทย์ประชาชนได้ สังเกตจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) ที่เคยเป็นแกนนำกลุ่ม 3 มิตร สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไปตั้งพรรคใหม่และจับมือคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) สู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าแล้ว ทำให้ พล.อ.ประวิตรเหนี่ยวรั้งนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม แกนนำพรรค พปชร. อยู่กับพรรคต่อไปเพื่อเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้า
หาก พปชร.ต้องการหยุดเลือดไหล พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตรต้องเคลียร์คนในพรรคก่อนเป็นอันดับแรก พร้อมจัดสรรอำนาจและผลประโยชน์ให้ลงตัว ไม่เอาคนนอก หรือโควต้ามาเป็นรัฐมนตรีอาจทำให้พรรคไปต่อได้ ที่สำคัญต้องยอมรับว่าพรรค พปชร.อยู่ในช่วงขาลงเหมือนกับพรรค พท.ที่เคยมีกระแสความนิยมลดลง หรือเรตติ้งตก ดังนั้น จะใช้เทคนิค หรือลอยตัวหนีปัญหาไม่ได้อีกแล้ว ต้องสร้างจุดขายใหม่ ตอบโจทย์ได้มากที่สุด โดยให้ พล.อ.ประยุทธ์เปิดหน้าสู้เต็มตัวเพื่อชูธง พปชร.ไปสู่เป้าหมายกลับมาเป็นรัฐบาลสมัยหน้าอีกครั้ง ดังนั้น ถ้าพรรค พปชร.ไม่ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ แม้มีกระสุน หรือท่อน้ำเลี้ยงสนับสนุน เพื่อกว้าน หรือดูด ส.ส.เกรดเอเข้าพรรคก็คงไม่ไหวและไปไม่รอด พรรค พปชร.จะรอด คือขาย พล.อ.ประยุทธ์แบบตรงๆ ไปเลย ชูความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยบ้านเมือง ปกป้องสถาบันเป็นจุดขาย เพื่อวัดดวงกับประชาชนว่าได้ไปต่อ หรือจบกันแค่นี้