ที่มา | มติชนรายวัน |
---|
หมายเหตุ– สรุปวิเคราะห์กรณีความปรองดอง โดยนายนิกร จำนง สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง เมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา
1.ข้อมูล
เนื่องจากการพิจารณาศึกษาการสร้างความปรองดองของคนในชาติได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และมีการศึกษาจัดทำแนวทางปรองดองไว้หลายฉบับ ทั้งการจัดทำในช่วงที่มีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง และหลังจากมีการยึดอำนาจแล้ว โดยล่าสุดได้มีการศึกษาพิจารณาของ สปช. สรุปเสนอรัฐบาล สปช.ส่ง คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญชุดนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เพื่อกำหนดไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมกลไก วิธีการต่างๆ ไว้ แต่ในที่สุดการปรองดองก็ยังไม่อาจเกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุแห่งการมีความเห็นที่แตกต่างกันในหลายด้าน ซึ่งต่อมา สปท. (โดย กมธ.ด้านการเมือง) ได้จัดทำสรุปแผนการปฏิรูปในเรื่องความปรองดองแล้วเช่นกัน โดยมีผลการศึกษาเป็นบทสรุป ดังนี้
รายงานวิจัยการสร้างความปรองดองแห่งชาติ
โดยสถาบันพระปกเกล้าเสนอต่อกมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ
ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไขในระยะสั้น
1) การจัดการกับความจริงของเหตุการณ์รุนแรงที่นำมาซึ่งความสูญเสีย
2) การให้อภัยแก่การกระทำที่เกี่ยวข้องผ่านกระบวนการนิรโทษกรรมในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง โดย
2.1 ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีที่เกี่ยวเนื่องจากการชุมนุมทั้งหมด
2.2 ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุม เฉพาะกรณีทำผิดตาม พ.ร.บ.ฉุกเฉินเท่านั้น
3) การเสริมสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมให้เป็นไปตามหลักนิติธรรมและเป็นการลดเงื่อนไขของข้อกล่าวอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมโดยกระบวนการตรวจสอบของ คตส.
3.1 ดำเนินคดีผู้ถูกกล่าวหาตามปกติ แต่ให้ผลการพิจารณาของ คตส.สิ้นผลลง และโอนคดีทั้งหมดให้ ป.ป.ช.
3.2 เพิกถอนผลทางกฎหมายที่ดำเนินการโดย คตส.ทั้งหมด แล้วดำเนินกระบวนการยุติธรรมปกติโดยไม่ถือว่าขาดอายุความ
3.3 เพิกถอนผลทางกฎหมายที่ดำเนินการโดย คตส.ทั้งหมด และไม่นำคดีที่อยู่ระหว่างกระบวนการและตัดสินไปแล้วมาพิจารณาใหม่
4) การกำหนดกติกาทางการเมืองร่วมกัน ซึ่งอาจรวมไปถึงการแก้กฎหมายและรัฐธรร
มนูญในระยะยาว
5) การออกแบบภาพอนาคตของการปกครองระบอบประชาธิปไตยไทยอันมีพระมหากษัตริย์
ทรงเป็นประมุข
6) การวางรากฐานของประเทศเพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม และการเสริมสร้างวัฒนธรรมความเป็นพลเมืองและความทนกันได้ (Tolerance) ในการอยู่ร่วมกันบนความแตกต่าง
ความสัมฤทธิผล/ความล้มเหลว
1.มีความขัดแย้งในการพิจารณาของ กมธ.ก่อนที่จะมีการลงมติโหวตครั้งสุดท้าย เมื่อ กมธ.เสียงส่วนใหญ่ให้ที่ประชุมลงมติในแนวทางที่ 3.3 เพิกถอนผลทางกฎหมายที่ดำเนินการโดย คตส.ทั้งหมด และไม่นำคดีที่อยู่ระหว่างกระบวนการและตัดสินไปแล้วมาพิจารณาใหม่ ทำให้ กมธ.เสียงข้างน้อยจากพรรคฝ่ายค้านวอล์กเอาต์จากห้องประชุม และไม่เข้าร่วมการประชุมอีกเลย
2.เกิดความขัดแย้งในการประชุมร่วมรัฐสภา เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2555 เมื่อ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.พรรคเพื่อไทย เสนอญัตติขอให้เลื่อนระเบียบวาระการพิจารณารายงานของ กมธ.ปรองดองขึ้นมาพิจารณา ในขณะที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์แย้งว่าการทำงานของ กมธ.ยังไม่เสร็จสิ้นและควรพิจารณาตามระเบียบวาระ อย่างไรก็ตามในช่วงเช้าวันที่ 28 มีนาคม ที่ประชุมร่วมรัฐสภาได้มีมติเห็นชอบให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณารายงานของ กมธ. ด้วยคะแนน 346 ต่อ 17 และงดออกเสียง 7 เสียง
3.วันที่ 6 เมษายน 2555 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรลงมติรับทราบข้อสังเกตรายงาน กมธ.ที่จะส่งไปยัง ครม. ด้วยคะแนน 307 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง และไม่ลงคะแนน 3 เสียง จากองค์ประชุม 312 เสียง โดย ส.ส.พรรคฝ่ายค้านที่อยู่ในห้องประชุมไม่ได้กดลงมติแต่อย่างใด
รวมการพิจารณายาวนาน 2 วัน กว่า 21 ชั่วโมง
แนวทางการสร้างความปรองดองโดยคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองสภาปฏิรูปแห่งชาติ
ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไข
1.การอำนวยความยุติธรรม การสำนึกรับผิด และการให้อภัย โดยนำคดีความเฉพาะคดีอาญาที่เกี่ยวเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองระหว่าง พ.ศ.2548-2557 มาแยกแยะจัดกลุ่มประเภทคดีและสถานะของคดี
(1.1) ในกรณีที่คดียังอยู่ในชั้นสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้เร่งรัดกระบวนการดังกล่าวเพื่อให้ได้ข้อสรุปสำนวน โดยพิจารณาจำแนกถึงมูลเหตุแห่งการกระทำผิดว่า (1) เป็นความผิดที่มีแรงจูงใจทางการเมือง หรือ (2) เป็นความผิดอาญาโดยเนื้อแท้ หรือ (3) เป็นความผิดที่มีแรงจูงใจทางการเมืองแต่มีฐานความผิดอื่นประกอบ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมสอบสวนคดีพิเศษอาจใช้อำนาจในการทำความเห็นต่อประเด็นสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องเสนอต่ออัยการเพื่อพิจารณาต่อไปตาม ป.วิอาญา มาตรา 140-147
(1.2) ในกรณีที่คดีอยู่ในชั้นพิจารณาของพนักงานอัยการก่อนฟ้องศาลยุติธรรม ให้พนักงานอัยการพิจารณาว่าการฟ้องคดีอาญาใดที่จะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติ หรือต่อผลประโยชน์อันสำคัญของประเทศหรือไม่ เพื่อเสนอต่ออัยการสูงสุดพิจารณาสั่งไม่ฟ้องตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 มาตรา 21 และระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการสั่งคดีอาญาฯ เฉพาะในกรณีความผิดที่มีแรงจูงใจทางการเมืองเท่านั้น ในกรณีที่มีฐานความผิดทางอาญาโดยเนื้อแท้ หรือเป็นความผิดที่มีแรงจูงใจทางการเมืองแต่มีฐานความผิดอื่นประกอบ อาทิ การทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ก่อการร้าย หรือผิดมาตรา 112 ให้ดำเนินการพิจารณาตามปกติ โดยคำนึงถึงเกณฑ์การประกันตัว ปล่อยชั่วคราว และการจัดหาทนายให้แก่ผู้ต้องหา
(1.3) ในกรณีที่คดีอยู่ในกระบวนการของศาลยุติธรรม ให้พนักงานอัยการอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 มาตรา 21 และระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการสั่งคดีอาญาฯ พิจารณาไปยื่นคำร้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกาถอนฟ้อง ถอนคำร้อง ถอนอุทธรณ์ และถอนฎีกา เฉพาะในกรณีความผิดที่มีแรงจูงใจทางการเมืองเท่านั้น
(1.4) ในกรณีที่ศาลได้พิจารณาคดีเสร็จสิ้นแล้ว ให้คำนึงถึงเกณฑ์การขอพระราชทานอภัยโทษตามที่กฎหมายกำหนด
ในกรณีที่จำเป็นต้องการตรากฎหมายพิเศษ ให้นำหลักความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน (Transitional Justice) และกระบวนทัศน์แบบความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice) มาใช้ดำเนินการ
2.การเยียวยา ดูแลและการฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบ ทั้งในแบบที่เป็นตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงิน เพื่อให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่มทุกฝ่ายสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรีอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน
3.การสร้างสภาวะที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกัน การสร้างสภาวะที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมท่ามกลางความคิดเห็นที่แตกต่าง
4.มาตรการป้องกันการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง มีข้อเสนอต่อการดำเนินการรวม 10 ประการ
(1) ควรมีการเฝ้าระวังสถานการณ์ ระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า หรือปะทะรุนแรงระหว่างฝ่ายประชาชนหรือฝ่ายเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง
(2) ปฏิรูปและกำกับบทบาทของสื่อสารมวลชนให้เป็นไปตามจรรยาบรรณ โดยนำเสนอเนื้อหาสาระที่สร้างสรรค์ ไม่ยุยง บิดเบือนข้อเท็จจริงจนก่อให้เกิดความเกลียดชัง หรือการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างคนในสังคม โดยยังให้หลักประกันสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน
(3) จัดให้มีกลไก กติกาและส่งเสริมให้มีพื้นที่ในการใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยใช้แนวทางสันติวิธีที่สอดคล้องกับหลักรัฐธรรมนูญที่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคล และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของประชาชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี
(4) ควรมีการสร้างสำนึกและความตระหนักถึงการใช้เสรีภาพส่วนบุคคลให้มีความรับผิดชอบและเคารพในสิทธิของผู้อื่นในการใช้สื่อในรูปแบบต่างๆ
(5) ในการควบคุมฝูงชน ใช้วิจารณญาณในการปฏิบัติต่อสถานการณ์อย่างรอบคอบ เน้นใช้การเจรจา และปฏิบัติกฎการปะทะตามหลักสากลอย่างเคร่งครัด
(6) ในเหตุการณ์ชุมนุม ควรให้หน่วยบริการทางการแพทย์เข้าถึงผู้บาดเจ็บ-เสียชีวิตโดยเร็วและปกป้องคุ้มครองผู้ให้บริการอย่างปลอดภัยที่สุด
(7) ส่งเสริมให้มีการปฏิบัติตามหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัดโดยหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมและหน่วยงานอื่นของรัฐที่เกี่ยวข้อง
(8) ปรับเปลี่ยน ปฏิรูปและลดบทบาทของหน่วยงาน หรือบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจกลับคืนมาของสังคม
(9) ควรมีมาตรฐานการตรวจสอบ ลงโทษ การแสดงความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่รัฐและแกนนำการชุมนุมที่ทำเกินกว่าเหตุจนนำไปสู่การสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน
(10) การสร้างเครื่องเตือนใจ/สัญลักษณ์ความทรงจำให้สังคมได้เรียนรู้ร่วมกัน ถึงเรื่องราวของความขัดแย้ง รำลึกถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นและคุณค่าของการสร้างความปรองดอง
สภาปฏิรูปแห่งชาติหมดหน้าที่ไป เมื่อ สปช.โหวตให้รัฐธรรมนูญฉบับ อ.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ไม่ผ่าน
การสร้างความเป็นธรรมและการปรองดองในร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ อ.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ
ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไข
มาตรา 259 เพื่อประโยชน์แห่งการดำเนินการปฏิรูปประเทศให้ต่อเนื่องจนบรรลุผล รวมทั้งเพื่อป้องกันและระงับความขัดแย้งระหว่างคนในชาติ และสร้างความปรองดอง ให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) และสภาดำเนินการปฏิรูปและสร้างความปรองดอง
มาตรา 260 คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ ประกอบด้วย ประธานกรรมการคนหนึ่งและกรรมการจำนวนไม่เกินยี่สิบคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากบุคคลต่อไปนี้
(1) กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา นายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
(2) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งแต่งตั้งจากผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา ซึ่งเลือกกันเองในแต่ละประเภท ประเภทละหนึ่งคน และ
(3) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกินสิบเอ็ดคน ซึ่งแต่งตั้งตามมติรัฐสภาจากผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการปฏิรูปด้านต่างๆ และการสร้างความปรองดอง
ให้กรรมการตามวรรคหนึ่งเลือกผู้ซึ่งมีความเหมาะสมคนหนึ่งให้เป็นประธานกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ
คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม หลักเกณฑ์และวิธีการได้มา วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง อำนาจหน้าที่และการอื่นที่จำเป็นของคณะกรรมการตามมาตรานี้ รวมทั้งเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการและกรรมการ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ
ให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ
ในกรณีที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติมีกรรมการไม่ครบองค์ประกอบหรือจำนวนตามวรรคหนึ่ง หากมีกรรมการเหลืออยู่เกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด ให้คณะกรรมการเท่าที่มีอยู่เป็นองค์ประกอบและองค์ประชุมและสามารถดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไปได้
ให้มีหน่วยธุรการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติและสภาดำเนินการปฏิรูปและสร้างความปรองดองที่มีอิสระในการบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดำเนินการอื่น ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดอง
ให้มีการประเมินผลการปฏิบัติงานตามยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการสร้างความปรองดองของคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติและสภาดำเนินการปฏิรูปและสร้างความปรองดอง เป็นประจำทุกปีโดยคณะกรรมการการประเมินผลแห่งชาติ แล้วแจ้งให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติและสภาดำเนินการปฏิรูปและสร้างความปรองดองทราบ และประกาศผลการประเมินดังกล่าวให้ทราบเป็นการทั่วไป ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดอง
มาตรา 261 คปป.มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปด้านต่างๆ และคณะกรรมการอิสระเสริมสร้างความปรองดองเพื่อศึกษาและเสนอแนะเรื่องการปฏิรูปและการเสริมสร้างความปรองดองต่อ คปป.
(2) ขับเคลื่อนการปฏิรูปโดยการเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปฏิรูป รวมทั้งข้อเสนอในการจัดสรรงบประมาณที่จำเป็นต่อรัฐสภาคณะรัฐมนตรีหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อการพัฒนาประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเป็นธรรมในด้านต่างๆ
(3) นำข้อเสนอการปฏิรูปของ สปช. รวมทั้งแผนงานและยุทธศาสตร์การปฏิรูปของทุกภาคส่วน มาบูรณาการเพื่อให้สามารถพัฒนาประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเป็นธรรมได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน รวมทั้งปรับแผนและขั้นตอนดังกล่าวได้ตามที่เห็นว่าเหมาะสม
(4) ดำเนินการที่จำเป็นเพื่อสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ระหว่างคู่ขัดแย้ง และสร้างความปรองดองในหมู่ประชาชนตามหลักความยุติธรรมระยะเปลี่ยนผ่าน ทั้งนี้ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดอง
(5) ดำเนินการหรือสั่งให้มีการดำเนินการที่จำเป็นเพื่อป้องกันและระงับความขัดแย้งหรือความรุนแรง และระงับหรือยับยั้งการกระทำที่มีผลเป็นการขัดขวางการปฏิรูปหรือการสร้างความปรองดอง ทั้งนี้ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดอง
(6) ตรวจสอบและไต่สวนการไม่ปฏิบัติตามแผนหรือขั้นตอนที่ คปป.กำหนดตาม (2) (3) (4) หรือ (5)
(7) เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยกรณีตาม (6)
(8) ส่งเสริมการศึกษา การวิจัย และการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการปฏิรูปและการปรองดอง
(9) เสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพของประชาชนเพื่อความเป็นพลเมืองที่ดี
(10) ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการปฏิรูปที่สอดคล้องและเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้
(11) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติ
เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ คปป.มีอำนาจกำหนดยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง อำนวยการ และดำเนินการให้เกิดสภาวะที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์และปรองดอง และเพื่อการนี้ให้ ครม.และหน่วยงานของรัฐดำเนินการให้เป็นยุทธศาสตร์นั้น รวมทั้งมีอำนาจเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาแนวทางและมาตรการต่างๆ ที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการขจัดความขัดแย้งและการสร้างความปรองดอง ทั้งนี้ คปป.ย่อมไม่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน
เมื่อคณะรัฐมนตรีได้รับข้อเสนอตามวรรคหนึ่ง หรือแนวทางและมาตรการตามวรรคสอง ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอหรือแนวทางและมาตรการดังกล่าว รวมทั้งให้การสนับสนุนงบประมาณ ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีไม่สามารถดำเนินการตามข้อเสนอหรือแนวทางและมาตรการใดได้ ให้ชี้แจงเหตุผลให้รัฐสภา และ คปป.ทบทวนข้อเสนอแนวทางหรือมาตรการดังกล่าว และมีมติยืนยันด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ ให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการให้เป็นไปตามมติดังกล่าว
มาตรา 262 ให้สภาดำเนินการปฏิรูปและสร้างความปรองดอง ประกอบด้วยบุคคลตามมาตรา 260 และมาตรา 261 (1) เพื่อดำเนินการปฏิรูปและสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ตาม พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดอง
ให้สภาดำเนินการปฏิรูปและสร้างความปรองดองประเมินผลการปฏิรูปและการสร้างความปรองดองในแต่ละปี และจัดทำแผนปฏิรูปและสร้างความปรองดองในปีถัดไป รวมทั้งพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง ซึ่งต้องนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาต่อไป และอำนาจหน้าที่อื่นตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดอง
ให้ประธานกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติเป็นผู้เรียกประชุมและเป็นประธานการประชุมสภาดำเนินการปฏิรูปและสร้างความปรองดอง
มาตรา 263 ในการดำเนินการตามมาตรา 261 หากเห็นว่ากรณีใดจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติขึ้นใช้บังคับ ให้สภาดำเนินการปฏิรูปและสร้างความปรองดองจัดทำร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับกรณีนั้นเสนอ คปป.เพื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร ในการนี้ คปป.จะแก้ไขเพิ่มเติมหรือส่งให้สภาดำเนินการปฏิรูปและสร้างความปรองดองแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนใดก่อนก็ได้
ให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยต้องประกอบด้วยสมาชิกสภาดำเนินการปฏิรูปและสร้างความปรองดองและผู้แทน คปป.รวมกันมีจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมาธิการทั้งหมด และในกรณีที่เป็นการพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว คณะกรรมาธิการร่วมกันนั้นจะต้องประกอบด้วยสมาชิกสภาดำเนินการปฏิรูปและสร้างความปรองดองและผู้แทน คปป.รวมกันมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนกรรมาธิการ ทั้งหมดด้วย
ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติที่เสนอตามวรรคหนึ่งเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน จะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีคำรับรองของนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีต้องพิจารณาให้คำรับรองภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับร่าง ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่แจ้งผลการพิจารณาภายในเวลาที่กำหนด ให้ถือว่านายกรัฐมนตรีให้คำรับรอง
ความสัมฤทธิผล/ความล้มเหลว
ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการรับรองจาก สปช.ด้วยคะแนน 135 ต่อ 105 เสียง เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับ คปป.ไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ
2.บทสรุปการปรองดองที่ยังไม่มีความก้าวหน้า
2.1 การไม่สามารถหาข้อยุติของข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนทุกๆ ฝ่าย โดยเมื่อไม่อาจหาข้อยุติในเหตุการณ์ต่างๆ จึงไม่อาจยอมรับเหตุผลของการถูกดำเนินการหรือถูกกระทำจากเหตุการณ์ต่างๆ ได้ ผู้ร่วมเหตุการณ์ซึ่งอาจได้รับข้อมูลที่บิดเบือนไปจากความจริง ผู้ไม่เกี่ยวข้องที่ได้รับข้อมูลไม่ตรงตามข้อเท็จจริง ไม่อาจยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากมีการตรวจสอบและมีข้อยุติถึงเหตุการณ์ที่เป็นความจริงก็จะนำมาซึ่งการยอมรับเหตุของการเกิดเหตุการณ์นั้นได้ จึงต้องแสวงหาแนวทางเพื่อหาข้อยุติของข้อเท็จจริงให้ได้เพื่อเริ่มต้นของการดำเนินการปรองดองให้ได้
2.2 การดำเนินการด้านคดีความที่เกิดจากการชุมชน จากความขัดแย้งทางการเมือง อันนำมาซึ่งการกระทำความผิดต่างๆ จากการชุมนุม ทั้งการกระทำผิดของแกนนำผู้ชุมนุมและผู้เข้าร่วมชุมนุม การกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ เมื่อไม่มีความจริงที่ยอมรับได้ และไม่เข้าใจในเหตุผลของ การกระทำว่ามีความผิดอย่างไร จึงไม่อาจยอมรับการดำเนินคดีที่กำลังดำเนินการในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งการแก้ไขปัญหาควรมีการแยกแยะการกระทำความผิดที่สามารถให้อภัยได้และความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้ เพื่อการดำเนินการที่แตกต่างกัน
2.3 คดีการกระทำความผิดของนักการเมือง การไม่สามารถหาแนวทางที่เป็นที่พอใจของหลายๆ ฝ่าย รวมถึงยังไม่สามารถหาจุดร่วมที่พอจะยอมรับกันได้ของทุกฝ่าย การปรองดองจึงยังไม่อาจเริ่มต้นได้
2.4 ความขัดแย้งทางความคิดของ ปชช.ยังคงมีอยู่ เพียงแต่ยังอยู่ในช่วงที่ไม่อาจแสดงออกทางการเมืองได้มากนัก จึงไม่เห็นความขัดแย้ง แม้ว่าส่วนหนึ่งจะได้รับประสบการณ์และความรู้ด้านการเมืองด้านความขัดแย้งของสังคม และเกิดประสบการณ์ที่จะไม่เข้าร่วมหรือเข้าเป็นฝ่ายของความขัดแย้งบ้าง แต่ก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าความขัดแย้งของประชาชนจะไม่เกิดขึ้นอีก ความปรองดองในใจของประชาชนยังไม่ได้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ต่างฝ่ายต่างยังพร้อมที่จะแสดงออกซึ่งพลังของตนที่จะเรียกร้องตามความคิดคนละด้านอยู่