⦁…หลัง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ในฐานะ “ขุนพลเศรษฐกิจของรัฐบาล” ถูกต้อนให้ต้องเยียวยา “สภาพคล่องในตลาด” ด้วยการ “แจกเงินคนจนคนละ 1,500-3,000 บาท” เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ ความคิดความเห็นของผู้คนที่ลืมเลือนความเป็นจริงของชีวิตไป เริ่มถูกเตือนสติให้มาโฟกัสที่ “ปัญหาปากท้องของประชาชน” อีกครั้ง เพราะ “โครงการแจกเงินคนจนที่ไม่เรียกว่าประชานิยม” ถูกตีค่าเป็นการยอมรับว่ามาตรการทางเศรษฐกิจที่ผ่านมา “ไม่มีพลังพอที่จะสตาร์ตเครื่องยนต์เศรษฐกิจให้เดินหน้าไปได้” ส่วน “คนในรัฐบาล” รวมถึง “ดร.สมคิด” จะยอมรับการตีค่าแบบนั้นหรือไม่ ดูเหมือนจะไม่มีใครฟังสักเท่าไร
⦁…หลัง “รัฐประหาร” ที่มีแนวคิด “ประชานิยมเป็นอันตรายสำหรับโครงสร้างเศรษฐกิจในอนาคต” และ “ผู้นำรัฐบาล” ถูกทำให้เชื่อในแนวทาง “ทำให้ประชาชนอยู่ในระเบียบวินัยทุกเรื่อง” ในสังคมชนบท “ราคาพืชผลการเกษตรต้องอยู่ในความเป็นจริงของตลาด” มุ่งไปในทิศทาง “รัฐบาลไม่ช่วยชดเชยราคา” คล้ายกับว่า “ทุกคนต้องรับผิดชอบปรับตัวกันเอง” ลงในรายละเอียดถึง “การไม่สนับสนุนการเพาะปลูกนอกฤดู” ส่งผลสะเทือนหนักต่อ “เกษตรกร” ด้วย “พืชผลราคาตกต่ำแทบทุกอย่าง” รายได้เกษตรกรที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจชนบททรุดฮวบ กำลังซื้อขาดหาย
⦁…วกมาดูภาคการใช้แรงงาน เนื่องเพราะ “ตลาดส่งออกยุครัฐประหารเปลี่ยนแปลง” ส่งผลถึง “การลงทุนภาคเอกชน” ที่ชะลอตัว ทำให้ “รายได้ภาคผู้ใช้แรงงานลดลง” ขณะเดียวกับ “การทำมาค้าขายของคนเมือง” ถูกจัดระเบียบด้วยเหตุผล “ความสะอาดและเป็นระเบียบของเมือง” ทำให้ “คนเล็กคนน้อยที่อาศัยการทำมาค้าขายข้างถนน” ได้รับผลกระทบกันโดยทั่ว จากรายได้ที่ขาดหาย ถึงวันนี้ “ความเชื่อในระเบียบ” รุกเข้าไปถึง “การขายสินค้าริมถนนหลวง” ซึ่งเป็นแหล่งระบายของ “เกษตรกร” และ “ผู้ผลิตรายย่อย” ที่ไม่ถูกกดจาก “พ่อค้าคนกลาง”
⦁…ขณะที่ “รายได้จากการท่องเที่ยว” สะเทือนหนัก จากการ “หักด้ามพร้าด้วยเข่า” กับ “ทัวร์จีน” ที่ไม่ได้ศึกษาผลกระทบให้รอบด้านก่อน ทำให้กิจการต่อเนื่องจาก “นักท่องเที่ยว” ที่เป็นค่าจ้างและค่าผลิตสินค้าหลายอย่างกระทบโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงวันนี้แม้จะมีการผลักดันให้ “ลดค่าวีซ่าเข้าประเทศไทย” แต่ยังไม่มีวี่แววอะไรที่จะส่งสัญญาณการฟื้นของ “นักท่องเที่ยว” ขณะที่ “ผู้ที่เกี่ยวข้องพยายามหาข้อมูลในมุมที่ให้ความรู้สึกดีมานำเสนอ” แต่ “ความจริงก็คือความจริง”
⦁…เป็นที่รับรู้กันในแวดวงนักเศรษฐศาสตร์ว่า “แรงกระตุ้นเศรษฐกิจ” คือ “เงินที่ลงไปถึงมือคนระดับล่าง” ไม่ว่าจะเป็น “คนเมือง” หรือ “คนชนบท” เนื่องจากเป็น “ชีวิตที่ขาดแคลนในทุกเรื่อง” ได้มาเมื่อไร “ใช้ทันที” ดังนั้น “เงินที่ลงไปถึงมือคนระดับล่าง” จึงเป็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ ผิดกับเงินที่ไหลสู่มือ “คนระดับบนที่ร่ำรวย” เพราะ “ไหลเข้าไปเท่าไรก็ใช้เท่าเดิม” ด้วยไม่มีแรงกระตุ้นให้ต้องใช้เพิ่ม “การเก็บเงินส่วนเกินจากที่ใช้ไว้ เป็นบ่อสมบัติที่มีช่องทางให้ไหลออก แถมยังถมไม่เต็ม” ไม่มีประโยชน์อะไรกับ “แรงกระตุ้นกำลังซื้อ” ทว่า “ทิศทางการจัดการประเทศ” ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม กลับคล้าย “สร้างเขื่อนกั้นไม่ให้เงินกระจายไปยังคนส่วนใหญ่” แต่เปิดทางสะดวก “ให้ไหลรวมมาสู่บ่อสมบัติของคนที่ร่ำรวยอยู่แล้ว” ในนามของ “ระเบียบวินัยของบ้านเมือง”
⦁…เพราะแรงกระตุ้นภาคประชาชนอ่อนโรย จึงเหมือนภาคบังคับให้ต้อง “เร่งแรงกระตุ้นจากการใช้จ่ายภาครัฐ” ดูเหมือนว่า “บทบาทของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน” จะมุ่งไปที่ “ตรวจสอบหน่วยงานของรัฐที่ตั้งงบประมาณไว้แล้ว ไม่ใช้จ่ายให้ได้ตามที่ตั้ง” แต่แม้กระนั้นความสับสนก็เกิดขึ้นในทางปฏิบัติ ด้วย “การเบิกจ่ายที่ถูกตีความว่าไม่รอบคอบ” ในบางกรณีถือเป็น “ความผิดร้ายแรงของข้าราชการ” ก่อเกิดสภาพ “ถอยไม่ได้ ไปไม่เป็น” ไปทั่ว
⦁…ความคิด “ตั้งงบแล้วต้องใช้ให้หมด” ที่เข้มงวดกับ “หน่วยงานราชการ” ช่วงหลังเลยไปถึง “องค์กรที่ไม่ได้บริหารแบบราชการโดยตรง” ตัวอย่างเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ “กสทช.” ที่ “ตั้งงบประมาณรายจ่ายไว้ที่ 5,000 ล้านบาท” แต่เมื่อ “จ่ายจริง 4,000 ล้านบาท เงินที่เหลือส่งกลับเข้าคลังเป็นรายได้แผ่นดิน” เรื่องแบบนี้น่าจะเป็นเรื่องดี กลับกลายเป็น “เรื่องไม่ถูกต้องในมุมมองของ สตง.” มีการตำหนิว่า “ตั้งงบประมาณแล้วไม่ใช้” กว่าจะเคลียร์กันได้ว่า “ไม่ใช่งบประมาณราชการที่ตั้งมาแล้วต้องใช้ให้หมด ถ้าเห็นว่าไม่มีประโยชน์ เอาเงินส่งกลับเข้าคลังไม่ดีกว่าหรือ” ก็เล่นเอา ฐากร ตัณฑสิทธิ์ ต้องออกแรงเคลียร์จนเหนื่อย
ชโลทร