ประยุทธ์ อ้างความชัดเจน นั่งแคนดิเดตนายกฯ ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ปัดเป็นศัตรู พปชร.

‘บิ๊กตู่’ ประกาศเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ‘รวมไทยสร้างชาติ’ แล้ว อ้างเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนทางการเมือง และ พปชร.ก็เสนอชื่อ ‘ประวิตร’ เป็นนายกฯแล้ว ยันคุยกับ ‘บิ๊กป้อม’ ไม่มีปัญหา ความสัมพันธ์ลึกซึ้งไม่มีใครลบล้างได้ ร่ายยาว 24 นาที เผยครอบครัวเข้าใจ ส่วนอนาคตการจับขั้วทางการเมืองต้องฟังเสียงของประชาชน

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 23 ธันวาคม ที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเป็นประธานในพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติ 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี 2565 โดยเดินมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเองด้วยสีหน้าตั้งใจ ความยาว 24 นาทีว่า วันนี้ทราบดีว่าทุกคนให้ความสนใจกับสถานการณ์ทางการเมือง และหลายพรรคการเมืองก็ออกมาเคลื่อนไหวกันเยอะแยะไปหมด เห็นว่าทุกคนอยากทราบว่านายกรัฐมนตรีจะไปอย่างไรต่อไป วันนี้จากสถานการณ์ที่ได้ติดตามมาตลอดเวลาที่ผ่านมาและเห็นถึงความเคลื่อนไหวของหลายพรรคการเมืองมีการเสนอชื่อผู้ที่จะได้รับการคัดเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรค

“ที่ผ่านมานายกฯก็พยายามพิจารณาในเรื่องต่างๆ ด้วยหลักการและเหตุผลต่างๆ มากมายหลายประการ วันนี้พรรครวมไทยสร้างชาติได้เสนอมาแล้วว่ายินดีสนับสนุนนายกฯ คือผมให้เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ผมจึงจำเป็นต้องทำให้เกิดความชัดเจนเกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันไป ให้เกิดความเสียหายหลายอย่างด้วยกัน

“ผมเคยบอกแล้วว่าช่วงที่ผ่านมาผมได้รับการสนับสนุนจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แต่วันนี้พรรคพลังประชารัฐมีการตกลงใจที่จะเสนอชื่อหัวหน้าพรรคคือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว เพราะฉะนั้น ผมจึงตัดสินใจวันนี้แล้วกัน ซึ่งความจริงก็ได้เตรียมการมาพอสมควรแล้วว่าจะไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ จะได้สบายใจกัน ก็สุดแล้วแต่ประชาชนก็แล้วกันว่าจะให้การสนับสนุนหรือไม่อย่างไร

“สิ่งที่ผมต้องตัดสินใจแบบนี้เพราะหลายๆ อย่างที่ผมได้ทำไว้มาอย่างต่อเนื่องหลายปี ที่ผ่านมานั้นก็น่าจะได้มีการสานต่อถ้าหากว่าผมสามารถอยู่ได้ในระยะเวลาตามที่กำหนด ในระหว่างนั้นก็จะได้สานต่อในสิ่งที่ยังค้างคา ยังไม่สำเร็จ และยังมีปัญหาอยู่เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

Advertisement

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้ง 4 ปีแรก และ 4 ปีหลังก็ทำมาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ระยะแรกจะเป็นรัฐบาลไม่ปกติก็ตาม ในการเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมีการเสนอชื่อก็เป็นวาระที่สอง ที่ผ่านมานายกฯเป็นผู้กำหนดนโยบายและดูแลทุกพื้นที่ซึ่งในความเป็นจริงก็ดูแลทุกพรรค จะเห็นได้ว่าแผนงานโครงการต่างๆ ลงไปทุกจังหวัด ไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นของใคร และหลายจังหวัดที่นายกฯลงพื้นที่ไปก็ไม่ได้มี ส.ส.ของฝ่ายรัฐบาล คือพรรคพลังประชารัฐที่สนับสนุนผม แต่ก็พร้อมลงไป

“อย่างวันก่อนที่ไป จ.เชียงราย ก็ไม่ได้มี ส.ส.ของรัฐบาลสักคน แต่ผมก็ไปให้ เพราะผมมองประชาชนเป็นหลัก ขณะเดียวกัน ส.ส.ทุกคนต้องถือว่าเป็นตัวแทนของราษฎรที่คัดเลือกเข้ามา อะไรที่ผมทำให้ได้ อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศก็นำเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม. จัดสรรงบประมาณลงไปให้ แต่ทุกอย่างต้องทำอย่างโปร่งใสและเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายเป็นสิ่งที่ผมยึดมั่นมาโดยตลอด ไม่เคยคิดแสวงหาผลประโยชน์ใดใดทั้งสิ้น ผมยืนยันว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดแสวงหาผลประโยชน์แม้แต่เพียงเล็กน้อย” นายกฯกล่าว

Advertisement

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้ปรึกษาเรื่องดังกล่าวกับ พล.อ.ประวิตรหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องนี้ได้กราบเรียนท่านไปนานแล้วว่าผมอาจจะมีความจำเป็นบางอย่าง ก็กราบเรียนกับท่านไปหลายครั้งแล้ว จนครั้งสุดท้ายได้ตัดสินใจไปแล้วและคุยกับท่านแล้ว ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่มีความขัดแย้งอะไรกันทั้งสิ้น อันนี้เป็นเรื่องของการเมืองก็ว่ากันไปตามการเมืองตามระบบประชาธิปไตย ก็ว่ากันไป

เมื่อถามว่า ถือว่าเป็นการจากกันด้วยดีใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ผมไม่ได้จากกันไปไหนนี่ ก็ยังคงพูดคุยกันอยู่เหมือนเดิม ไม่มีปัญหาอะไร อย่าลืมว่าความสัมพันธ์ของทหารกับทหารด้วยกันมันลึกซึ้ง ลึกซึ้งยิ่งกว่า และผมก็จบมาก็อยู่ในการดูแลของท่าน และท่านก็เป็นผู้บังคับบัญชาของผมคนแรกในการที่ผมจบจากโรงเรียนนายร้อยไปแวะรับราชการตั้งแต่ร้อยตรี จนกระทั่งอยู่ด้วยกันมาตลอดชีวิตรับราชการมาจนถึงวันนี้

“ความผูกพันอันนี้มันไม่มีใครลบล้างผมได้ ท่านเองก็รู้สึกเหมือนกัน และท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ซึ่งผมก็ได้บอกท่านว่าท่านจะได้สบายใจ เพราะว่าท่านมีแรงกดดันมากมายหลายประการด้วยกัน ซึ่งทุกคนก็ทราบดีกันอยู่แล้ว” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เมื่อถามว่า จะต้องสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็น่าจะต้องคงสมัคร ส่วนจะสมัครได้เป็นทางการเมื่อไหร่นั้นอย่าเพิ่งถาม

ผู้สื่อข่าวถามว่าถึงวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังคงเป็นแคนดิเดตเพียงคนเดียวที่พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตอนนี้เห็นว่ายังมีคนเดียว แต่อย่าเพิ่งไปถามอะไรล่วงหน้าเลย อย่าถามนี่ไปนั่นไปโน่นไปเรื่อย แล้วจะตอบได้อย่างไรเล่า

เมื่อถามว่า จะยังคงจับมือทางการเมืองกับ พล.อ.ประวิตรต่อไปใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อันนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องของการเลือกตั้ง ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้ง ประชาชนจะเลือกใครเข้ามาวันนี้ยังไม่มีใครรู้ ถึงเวลานั้นสถานการณ์การเมืองที่เรียกว่าการจับคู่ทางการเมือง ใครจะเป็นฝ่ายค้าน เป็นฝ่ายรัฐบาล ก็เหมือนครั้งที่แล้ว จะมีพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลและพรรคร่วมฝ่ายค้าน ถ้าคะแนนเสียงมารวมกันได้ และมากกว่าก็จะได้เป็นฝ่ายรัฐบาล ครั้งที่แล้วตนก็มาอย่างนั้นไม่ใช่หรือ

เมื่อถามว่า วันนี้ถือว่านายกรัฐมนตรีได้ประกาศสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างเต็มตัวใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้อนถามว่า ยังไม่ชัดอีกหรือ ทำไมต้องถามย้ำกันอีก

ผู้สื่อข่าวถามว่า การตัดสินใจตอนนี้ครอบครัวสนับสนุนเต็มที่ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็เข้าใจกันละนะ เขาเข้าใจว่าผมทำเพื่ออะไรนะ

เมื่อถามย้ำว่า ถือเป็นการท้าทายหรือไม่ในการกระโดดลงมาทำพรรคเองในครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า รวมไทยสร้างชาติมีหัวหน้าพรรคอยู่แล้ว หัวหน้าพรรคเขาก็ทำและดำเนินการทางการเมืองของเขาอยู่ สิ่งสำคัญที่สุดก็จะต้องคุยกันว่าสิ่งใดที่รัฐบาลนี้ได้ทำไว้ก็คงจะต้องเป็นการสานต่อไปสู่อนาคตอย่างมั่นคงยั่งยืน ไม่ใช่แค่ผิวเผิน หรือเป็นนโยบายที่จับต้องไม่ได้ ถ้าประกาศว่าจะทำนั่นทำนี่ก็ต้องดูว่าทำได้จริงหรือเปล่า ถ้าบอกว่าจะให้นี่ให้โน่น ก็ต้องดูว่าจะมีเงินจากที่ไหนหาเงินได้อย่างไร ซึ่งผมก็พยายามทำเรื่องนี้มาโดยตลอด

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทั้งสี่ปีแรกและสี่ปีหลัง ผมพยายามหารายได้เข้าประเทศเพราะรู้อยู่ว่าจะต้องดูแลประชาชนให้ได้มากยิ่งขึ้น แต่ทั้งหมดก็ต้องมีกติกาพอสมควร มากน้อยเพียงไรก็จะต้องไม่ให้เกิดภาระ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเราพยายามระมัดระวังในการใช้งบประมาณ แต่โชคไม่ดีที่เราเจอกับการแพร่ระบาดโควิด-19 รวมทั้งวิกฤตสงครามซึ่งมีผลกระทบกระเทือนไปทั้งหมด รัฐบาลก็พยายามบริหารให้ดีที่สุด ถ้าเปรียบเทียบกับหลายประเทศถือว่าเราทำได้ดี ฐานะการเงินการคลังก็ยังดีอยู่ แต่แน่นอนว่าย่อมมีความเดือดร้อนบ้างก็ต้องหาวิธีการแก้ไขไป วันนี้เรายังมีโอกาสอีกมาก ขอให้ทุกคนอย่าท้อแท้ อย่าทะเลาะเบาะแว้งกัน อย่าขัดแย้งกัน ถ้าเรามัวแต่เอาชนะคะคานกัน ทะเลาะและขัดแย้งกันทุกอย่างก็จะกลับสู่ที่เดิมทั้งหมด

“ยืนยันว่าผมพยายามจะทำบ้านเมืองให้เกิดความสงบเรียบร้อยให้ได้มากที่สุด และดีที่สุดแต่ทั้งหมดผมทำคนเดียวไม่ได้ ก็ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคน ทุกภาคส่วน ซึ่งก็ต้องมีหลักคิดว่าจะทำอย่างไรจะเลือกใคร และจะเลือกได้อย่างไร เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกพรรคการเมืองในการเลือก ส.ส.ก็คือท่านก็ต้องมองดูว่าจะได้ใครเป็นนายกฯล่ะ ท้ายที่สุดก็อยู่ตรงนี้

“อย่างที่บอก เมื่อเลือกตั้งมาแล้วท้ายที่สุดก็ต้องมารวมคะแนนเสียงกัน เพื่อให้เป็นฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ใครได้มาก็เป็นรัฐบาล และผู้ที่ถูกเสนอชื่อก็จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งมันไม่มีอะไรแน่นอนหรอก ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน ซึ่งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่มีความสำคัญที่สุด ขอให้คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ มีเหตุและผลมีหลักคิด

“ถ้าสมมุติว่าอยากได้นู่นนี่แต่เกินขีดความสามารถของรัฐบาล เกินขีดความสามารถของงบประมาณที่มีอยู่มันก็จะเดือดร้อนประเทศจะเสียหาย ก็ขอให้คิดให้ดี เพราะมีประโยชน์โดยรวมและประโยชน์ของแต่ละกลุ่มแต่ละอาชีพ เราก็ต้องเฉลี่ยการใช้จ่ายเงินให้ดี ที่ผ่านมานายกฯก็ใช้หลักการเหล่านี้บริหารงานมาโดยตลอด หลายอย่างก็ดีขึ้น แต่หลายอย่างก็ยังคงประสบปัญหา ซึ่งมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์โดยรอบด้วย

“ที่จำเป็นต้องพูดในวันนี้ เพราะเกรงว่าถ้าไม่พูดก็จะเกิดไปกันเรื่อย วิพากษ์วิจารณ์กันไปเรื่อยๆ ซึ่งผมก็ได้ตัดสินใจแล้ว อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขอขอบคุณพรรคพลังประชารัฐในการสนับสนุนให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรีในครั้งที่ผ่านมา เราไม่ใช่ศัตรูกัน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงสถานการณ์ภายในสภาที่ยังไม่สามารถพิจารณากฎหมายต่อไปได้ จะแก้ปัญหาอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องนี้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้พูดไปแล้วว่าเป็นเรื่องของ ส.ส.ที่มาอยู่ในสภากรุณาแสดงตนด้วย ถ้ามาแล้วไม่แสดงตน ไม่ออกเสียง ไม่ลงมติแล้วจะหมายความว่าอย่างไร ท่านได้ทำหน้าที่ของพวกท่านหรือเปล่า แล้วผมจะไปบังคับเขาได้หรือไม่ ในเมื่อได้ขอร้องกันไปแล้วทั้งหัวหน้าพรรคก็ฝากไปแล้ว วิปรัฐบาลก็พยายามไปเชื่อมต่อกับวิปของแต่ละพรรค ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล แต่ปัญหาก็ยังคงเกิดขึ้นอีก

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่พวกท่านได้กล่าวว่าตนเองเป็น ส.ส. ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชนก็ต้องทำหน้าที่ของท่าน เมื่อไหร่ที่ท่านทำหน้าที่ก็ต้องเข้าไปในสภา แต่ถ้าเข้าไปแล้วไม่แสดงตนจะเข้าไปทำไม ขอให้มองกันแบบนี้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image