ป่วนประชามติโทษหนัก! กกต.ชงติดคุก-ตัดสิทธิ์เลือกตั้งสูง10ปี สกัดคนจ้องล้มรธน.

เผยกม.กำหนดโทษประชามติ ขัดขวาง-ขู่จนท.จำคุก2ปี ตุกติกในคูหาคุกไม่เกิน5ปี เอาผิดทำวุ่นวาย-ปลุกระดม รณรงค์คว่ำเสี่ยงหมดอนาคต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่ประชุมมีวาระรับทราบผลการหารือร่วมระหว่าง กกต.กับรัฐบาลเกี่ยวกับการจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รวมทั้งจะพิจารณาว่าจะเพิ่มเติมหรือปรับแก้ลักษณะความผิดและช่องทางการกระทำผิดที่จะมีโทษทางอาญาในร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยความเรียบร้อยในการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่ กกต.ได้ยกร่างเสร็จแล้วหรือไม่ รวมทั้งจะปรับเป็นร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ตามที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี มีความเห็นในชั้นหารือร่วมกัน หรือเสนอเป็นร่างกฎหมายแล้วให้รัฐบาลไปพิจารณาเองว่าจะตราเป็น พ.ร.บ.หรือ พ.ร.ก.

รายงานข่าวแจ้งว่า ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความเรียบร้อยในการออกเสียงประชามติที่ กกต.ยกร่างเสร็จสิ้นมีทั้งสิ้น 16 มาตรา ประธาน กกต.เป็นผู้รักษาการ ลักษณะความผิดที่กำหนดนั้นส่วนใหญ่จะเหมือน พ.ร.บ.ว่าด้วยความเรียบร้อยในการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2550 ประกอบด้วยหากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานออกเสียงประชามติตั้งแต่ กกต.จนถึงผู้ได้รับการแต่งตั้ง ช่วยเหลือในการปฏิบัติงานออกเสียงจงใจไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ ทุจริตต่อหน้าที่ ขัดขวางมิให้เป็นไปตามกฎหมาย ใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปในทางทำให้การออกเสียงไม่สุจริต เที่ยงธรรม มีโทษปรับตั้งแต่ สองหมื่นบาท-สองแสนบาท จำคุก 1-10 ปี และอาจถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี แต่ถ้าปฏิบัติโดยสุจริต ได้รับการคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและอาญา

ร่าง พ.ร.บ.ระบุอีกว่า ผู้ใดขัดขวางเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานออกเสียงทุกระดับมิให้ปฏิบัติตามประกาศ กกต. มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถ้าการขัดขวางเป็นการขู่เข็ญ ใช้กำลัง มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เช่นเดียวกับผู้บังคับบัญชา นายจ้าง ถ้าขัดขวาง หน่วงเหนี่ยว ไม่ให้ความสะดวกพอสมควรต่อการไปใช้สิทธิออกเสียงของผู้ใต้บังคับบัญชา หรือลูกจ้าง ต้องรับโทษในอัตราเดียวกัน ผู้ทำลายบัตรที่มีไว้การออกเสียงโดยไม่มีอำนาจ หรือทำให้ชำรุด เสียหาย ทำบัตรเสียให้เป็นบัตรที่ใช้ได้ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หากผู้กระทำเป็นผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับการออกเสียงมีโทษหนักขึ้น จำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่สองหมื่นถึงสองแสนบาท

ร่าง พ.ร.บ.ระบุอีกว่าระหว่างเปิดการลงคะแนนออกเสียงประชามติ ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิออกเสียงในหน่วยนั้น ผู้ที่นำบัตรอื่นที่ไม่ใช่บัตรออกเสียงหรือนำบัตรออกเสียงออกจากที่ออกเสียงทำเครื่องหมายใดไว้ที่บัตรออกเสียงเพื่อให้ผู้อื่นรู้ว่าเป็นบัตรออกเสียงของตน หรือใช้อุปกรณ์ใดบันทึกภาพบัตรออกเสียงที่ตนลงคะแนนออกเสียงแล้ว หรือขัดคำสั่งกรรมการประจำหน่วยที่สั่งให้ออกไปจากที่ออกเสียง มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำและปรับ

ADVERTISMENT

“หากนำบัตรออกเสียงใส่หีบบัตรโดยไม่มีอำนาจ กระทำการใดในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงเพื่อแสดงว่ามีผู้มาแสดงตนออกเสียงผิดไปจากความจริง กระทำการให้บัตรออกเสียงเพิ่มขึ้นจากความเป็นจริง ขัดขวาง หน่วงเหนี่ยว ไม่ให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไปยังที่ออกเสียง ก่อความวุ่นวายในที่ออกเสียง กระทำการรบกวนหรือเป็นอุปสรรคแก่การออกเสียง มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท” ร่าง พ.ร.บ.ระบุ

ส่วนผู้ใดก่อความวุ่นวายไม่ให้การออกเสียงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ จัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สิน ผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปออกเสียง หรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ให้ไปออกเสียง หรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทำให้สำคัญผิดในวันเวลาที่ออกเสียง วิธีการลงคะแนนออกเสียง เปิดทำลาย ทำให้เสียหาย ทำให้เปลี่ยนสภาพ ทำให้สูญหาย ไร้ประโยชน์ นำไป หรือขัดขวางส่งหีบบัตรออกเสียง บัตรออกเสียง มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกินสองแสน

บาท และหากเล่น จัดให้มีการพนันอันมีผลจูงใจให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปออกเสียง หรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ออกเสียง เรียก หรือรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนและผู้อื่นเพื่อไม่ไปออกเสียง หรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี

รายงานข่าวแจ้งว่า ส่วนที่กำหนดเพิ่มชัดเจนกว่าร่างกฎหมายปี 2550 คือ กำหนดให้ผู้ใดเผยแพร่ ข้อความ ภาพ เสียงในสื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือในช่องทางอื่นใด ที่ผิดไปจากข้อเท็จจริง มีลักษณะรุนแรง ก้าวร้าว หยาบคาย ปลุกระดม ข่มขู่ หรือลักษณะอื่นใดโดยมุ่งหวังเพื่อให้ผู้มีสิทธิไปออกเสียง หรือ ออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ออกเสียง ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการก่อความวุ่นวายเพื่อให้การออกเสียงไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยผู้ที่กระทำผิดทั้งก่อความวุ่นวายฯจนทำให้ต้องออกเสียงประชามติใหม่ ผู้นั้นต้องรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายในการออกเสียงประชามติใหม่ด้วย

แหล่งข่าวจาก กกต.เปิดเผยว่า นายวิษณุตั้งข้อสังเกตในการประชุมว่า การรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ อาจใช้วิธีใส่ร้าย บิดเบือน ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญเพื่อหวังผลทางการเมือง โดยเฉพาะกระทำผ่านทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ขอให้ กกต.ไปกำหนดความผิดให้ครอบคลุมการกระทำเหล่านี้รวมถึงความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ด้วย ซึ่งในร่าง พ.ร.บ.ที่ กกต.ยกร่าง ก็กำหนดความผิดที่กระทำผ่าน สื่ออิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการใช้คำว่า “ช่องทางอื่น” น่ากว้างขวางเพียงพอแล้วแต่ก็ขึ้นอยู่กับที่ประชุม กกต.พิจารณาอีกครั้ง

“ร่างกฎหมายนี้แม้ยกฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความเรียบร้อยในการออกประชามติเมื่อปี 2550 และความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.มาบัญญัติไว้ แต่ถือว่ามีความรุนแรงกว่า เพราะมีการกำหนดให้ต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายในการออกเสียงประชามติใหม่ ในความผิดเกี่ยวกับการก่อความวุ่นวายไม่ให้การออกเสียงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ที่ประเภทความผิดกำหนดไว้กว้าง นอกเหนือจากโทษจำคุกและโทษปรับ อีกทั้งในบางความผิดที่มีโทษเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งฝ่ายการเมืองที่จะรณรงค์ ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ก็ต้องระมัดระวัง เพราะหากร่างรัฐธรรมนูญนี้ผ่านมีผลบังคับใช้ จะทำให้ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งอีกตลอดชีวิต และถ้าความผิดนั้นถูกพิสูจน์ว่าพรรคการเมืองรู้เห็นเกี่ยวข้องก็มีสิทธินำไปสู่การถูกยุบพรรคได้อีกด้วย” แหล่งข่าวระบุ