‘จิราพร’ แฉ บริษัทหลานชาย ‘บิ๊กตู่’ เข้าข่ายฮั้วประมูลงานรัฐ สงสัยใช้คู่เทียบนอมินีหรือไม่ แบบทรงอย่างแบด ฮั้วอย่างบ่อย

‘จิราพร’ แฉบริษัทหลานชาย ‘บิ๊กตู่’ เข้าข่ายฮั้วประมูลงานรัฐ สงสัยคู่เทียบนอมินีหรือไม่ แบบทรงอย่างแบด ฮั้วอย่างบ่อย

‘จิราพร’ แฉบริษัทหลานชาย ‘บิ๊กตู่’ เข้าข่ายฮั้วประมูลงานรัฐ สงสัยคู่เทียบนอมินีหรือไม่ แบบทรงอย่างแบด แต่ชนะอย่างบ่อย รับงานเยอะแต่ยังขาดทุน จวกเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลค่าย ถามคนอื่นต้องเสียภาษี แต่คนนี้ยกเว้นได้ใช่หรือไม่ จี้ก่อนลงจากตำแหน่ง ให้เอาคดีหลานตัวเองมาทำให้คนไทยสิ้นสงสัย

จากนั้นเวลา 14.25 น. น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายถึงกรณีหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดธุรกิจส่วนตัวในค่ายทหารเพื่อรับเหมาก่อสร้างว่า การที่หลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ใช้ค่ายทหารเปิดธุรกิจอาจจะเป็นพฤติกรรมเลียนแบบ เพราะลุงอยู่บ้านหลวงไม่ยอมย้ายออกมาหลังพ้นจากตำแหน่งก็ไม่ยอมย้ายออกมา เป็นนักการเมืองก็ไม่ยอมย้ายออกมา หลานอาจจะเห็นลุงทำได้จึงเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ สำนวนไทยบอกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น แต่นี่เรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลค่าย โดยหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์หากินกับธุรกิจกองทัพตั้งแต่ปี 2559 ที่มีเสียงวิจารณ์ว่าไม่เหมาะสมถึงการทำธุรกิจส่วนตัวและยังได้รับงานประมูลของรัฐในวงเงินที่สูง แต่หลังจากที่ทนเสียงวิจารณ์ไม่ไหวจึงตัดสินใจย้ายออกจากค่ายเพื่อให้พ้นข้อครหา แต่ก็ยังเดินหน้ารับงานประมูลของรัฐต่อเนื่อง ซึ่งห้างหุ้นส่วนดังกล่าวมีสิ่งน่าสงสัยอยู่หลายประการ จากการตรวจสอบในปี 2555-2556 มีผลประกอบการต่อเนื่องตลอด แต่ในปี 2557 กลับเริ่มได้รับโครงการรัฐที่มีมูลค่าสูง ซึ่งเป็นช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ทำการรัฐประหาร

น.ส.จิราพรกล่าวต่อว่า จากสถานะบริษัทที่ขาดทุนกลับชนะการประมูลรัฐ 3 โครงการ มูลค่า 28 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการของกองทัพทั้งหมด และยังได้งานของรัฐต่อเนื่องตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นงานในพื้นที่ จ.พิษณุโลกและจังหวัดใกล้เคียง เป็นเขตรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 พูดง่ายๆ เป็นเขตอิทธิพลพ่อ บารมีลุง โดยช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาทำรัฐประหาร มีคนหนุ่มสาวออกมาต่อต้านการทำรัฐประหาร กลับถูกจับแต่ลูกหลาน พล.อ.ประยุทธ์กลับกอบโกยตักตวงผลประโยชน์ของรัฐอยู่ ทั้งนี้ ตั้งแต่ที่บริษัทของหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์เริ่มได้รับโครงการรัฐและเป็นคู่สัญญากับรัฐ 28 ล้านบาท ขณะนั้นบริษัทมีทุนจดทะเบียนอยู่แค่ 1.5 ล้านบาท ซึ่งทุนจดทะเบียนจะเป็นหลักประกันแสดงสถานะทางการเงินและความน่าเชื่อถือของบริษัท หากเกิดการฟ้องร้องและบริษัทต้องชดใช้ค่าเสียหาย ฉะนั้น ทุนจดทะเบียนที่สูงย่อมแสดงศักยภาพการชำระหนี้ได้มากกว่า แต่ทุนจดทะเบียนครั้งนั้นเพิ่งเริ่มทำธุรกิจเอาแบงก์ที่ไหนการันตี หากตอบไม่ได้แสดงว่าการได้งานครั้งนั้นก็เพราะนามสกุลจันทร์โอชามากกว่า

Advertisement

น.ส.จิราพรกล่าวต่อว่า ต่อมาในปี 2557 บริษัทของหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ได้ประมูลงานรัฐได้รวมกันได้กว่า 10 ล้าน แต่ตรวจสอบแล้วพบว่ามีเครื่องมือเครื่องใช้ก่อสร้างเพียงแค่ 13 รายการ มูลค่า 385,574.71 บาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือการช่างทั่วไป ไม่มีรายการที่จะสามารถรับงานขนาดใหญ่ได้ หากเป็นการเช่าครั้งคราวก็พอเข้าใจได้ แต่ผ่านมา 8 ปีแล้วจะเช่าตลอดเลยหรือ ฉะนั้น พฤติกรรมของบริษัทจึงเป็นเหมือนบริษัทที่ประมูลงานได้แล้วไปขายงานต่อมากกว่าที่จะดำเนินการเอง สถานการณ์เช่นนี้อาจจะเป็นไปได้ว่ามีเครื่องจัดหนักอำนาจลุง อำนาจพ่อที่คอยจัดหนักให้หลานหรือไม่จึงสามารถประมูลงานในกองทัพได้โดยไม่มีเครื่องมือที่เพียงพอ ทั้งนี้ หลังจากที่บริษัทของหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ย้ายออกจากค่ายทหารออกมาจัดตั้งก็ออกมาตั้งสำนักงานใหญ่ข้างนอก ซึ่งมีลักษณะของบ้านธรรมดา ซึ่งภายในบ้านพบรถเก๋งและรถส่งของแกร็บจอดอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีงานหลักรับเหมาก่อสร้าง แต่มีอาชีพเสริมคือขับรถแกร็บส่งของ หากลองตรวจสอบดูให้ดีกรรมการบริษัทอาจจะมีชื่อเป็นคนขับแกร็บ จึงยิ่งเป็นที่น่าสงสัยมากขึ้นว่าจะมีการฮั้วประมูลโครงการรัฐหรือไม่ ซึ่งจากการตรวจสอบบริษัทคู่แข่งบริษัทหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์แล้ว สภาพบริษัททุกแห่งแล้วทรงอย่างแบด ชนะอย่างบ่อย ล้วนเป็นบริษัทที่ไม่ได้ใช้ในการรับงานระดับสิบล้านบาทได้เลย มีลักษณะเป็นแค่นอมินีเพื่อให้บริษัทของหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ชนะการประมูล แม้จะมีโครงการที่บริษัทหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ไม่ชนะการประมูล แต่หากเทียบแล้วก็พบว่าบริษัทที่เข้าแข่งล้วนเป็นหน้าเดิม ซึ่งส่วนต่างของบริษัทที่แพ้ต่างกันแค่ 1% ทุกครั้ง

น.ส.จิราพรกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่ดูผิดวิสัยคือโครงการงานก่อสร้างอาคารชุดนายทหารชั้นประทวน 48 ครอบครัว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก 1 หลัง ของกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ กรุงเทพมหานคร มูลค่ากว่า 47 ล้านบาท ซึ่งหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ก็ขอซื้อซองประมูลด้วย และมีอีกบริษัทที่ขอซื้อซองประมูลด้วย แต่เมื่อเปิดประมูลกลับมีแค่บริษัทของหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ประมูลเพียงบริษัทเดียว ทำไมอีกบริษัทจึงไม่เข้าประมูลต่อทั้งที่มีศักยภาพมากกว่า มีอิทธิพลอะไรห้ามไว้หรือไม่ ที่ผ่านมาเรามักจับตาดู 3 ป. ที่อยู่ในรัฐบาลว่าใหญ่โตกันมาก แต่จริงๆ ยังมีอีก 3 ป.ที่ใหญ่โตและส่อว่ามีอิทธิพลไม่แพ้กันคือ ป.ประยุทธ์ ป.ปรีชา และ ป.ปฐมพงษ์ 3 ป. ในรัฐบาลยังแยกกันเดินแล้ว แต่ 3 ป.นี้ยังรวมกันเดินอยู่ พฤติกรรมหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ส่อว่าฮั้วประมูลไม่พอ ยังมีพฤติกรรมส่อตกแต่งบัญชีเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี แม้บริษัทนี้จะรับงานรัฐมาหลายล้านบาท แต่สถานะของบริษัทก็ยังขาดทุน ซึ่งมีความแปลกประหลาดและผิดปกติ ทั้งนี้ หลังจากที่ย้ายบริษัทออกมาจากค่ายทหารค่าน้ำค่าไฟก็ลดลงด้วย ปีหนึ่งใช้ไฟแค่พันกว่าบาท เป็นไปได้อย่างไร ซึ่งมีความผิดปกติ อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์สั่งการไปตรวจสอบเพิ่มขึ้นอีก เพราะพฤติการณ์เหล่านี้เข้าข่ายการตกแต่งบัญชีเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอย่างชัดเจน หากเป็นธุรกิจคนอื่นคงต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นไปแล้ว

“การที่หลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ได้งานจากรัฐเข้าข่ายเป็นการฮั้วประมูล เป็นการทุจริตอย่างร้ายแรง พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะลุงและนายกรัฐมนตรีที่เคยประกาศว่าการปราบปรามเป็นวาระแห่งชาติ จนถึงตอนนี้เหลือเวลาในการดำรงตำแหน่งอีก 37 วัน ท่านจะดำเนินการอย่างไร และเสียภาษีของบริษัทดังกล่าวที่ได้งานมาโดยส่อฮั้วประมูลและได้งานของรัฐและยังมีงบบัญชีขาดดุล กรณีนี้ พล.อ.ประยุทธ์จะสั่งการให้กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรเข้าตรวจสอบได้หรือไม่ คนทั่วไปต้องจ่ายภาษีแบบหลบเลี่ยงไม่ได้ แต่หลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ทำได้ใช่หรือไม่ นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังปล่อยให้หลานชายเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาของนาย ห. อีกด้วย ซึ่งบริษัทของหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ขาดทุนแต่เอาเงินที่ไหนไปลงทุนทำธุรกิจ มีการตั้งข้อสงสัยว่านายตู้ห่าวให้หลานชาย พล.อ.ประยุทธ์เป็นนอมินีและออกเงินให้ พล.อ.ประยุทธ์จะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร เวลาเหลืออีก 37 วันก่อน พล.อ.ประยุทธ์ลงจากตำแหน่งนายกฯ ช่วยพลิกเอาคดีของหลานชายท่านมาทำให้คนไทยทั้งประเทศสิ้นความสงสัย” น.ส.จิราพรกล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image