การเรียงแถวออกมา ไม่ว่าจะของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ไม่ว่าจะของ นายพีระศักดิ์ พอจิต
สำคัญ และทรง “ความหมาย”
สำคัญเพราะว่า นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานในการยกร่าง”กฎหมายลูก”
สำคัญเพราะว่า นายพีระศักดิ์ พอจิต เป็นรองประธานสภานิติบัญญัตติแห่งชาติ
ทรงความหมายเพราะยืนยันว่าจะ”ไม่เตะถ่วง”
เพราะว่าบทบาทของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เหมือนกับอยู่ “ต้นน้ำ”
เพราะว่าบทบาทของ นายพีระศักดิ์ พอจิต เหมือนกับอยู่ “กลางน้ำ”
หาก 2 กลุ่มนี้ “อืดอาด” ก็”เป็นเรื่อง”
กระนั้น หากสดับตรับฟัง “เสียง”จากนักการเมืองก็ยากอย่างยิ่งที่ ต้นน้ำ และกลางน้ำจะเอ้อเร่อ เอ้อเต่อได้ แรงกดดันจาก”ชาว บ้าน”นั่นแหละมากด้วยพลานุภาพ
“นักการเมือง” เสมอเป็นเพียง”ช่องระบาย”
ต้องยอมรับว่า “บทบาท” และ “การเคลื่อนไหว”ของ 2 พรรคการ เมืองใหญ่ทรงความหมาย
แม้จะยัง”ติดล็อก”
ติดอยู่ใน “ล็อก” แห่งประกาศและคำสั่งของ “คสช.”นับแต่เดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา
เดือนพฤษภาคม 2558 เป็นเวลา 1 ปี
เดือนพฤษภาคม 2559 เป็นเวลา 2 ปี
จากเดือนพฤษภาคมเรื่อยมาจนถึงเดือนธันวาคมเป็นอีก 7 เดือน
รวมแล้ว 2 ปี 7 เดือน
แต่ก็ไม่สามารถ “ล็อก”นักการเมืองจากพรรคเพื่อไทยและ จากพรรคประชาธิปัตย์ได้
การออกมาของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ คือ “ผล”สะเทือน
การออกมาของ นายพีระศักดิ์ พอจิต คือ “ผล”สะเทือนที่มิอาจปฏิเสธได้
ต้องยอมรับว่าในบรรดาพรรคการเมืองทั้งหมดมีเพียง 2 พรรคใหญ่นี้เท่านั้นที่ไม่อยู่นิ่งเฉย
เราจึงเห็นบทบาทของ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล
เราจึงเห็นบทบาทของ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์
เรียกร้อง ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เคยเหน็ดเหนื่อยและย่อท้อ ถดถอย โรยรา
1 เรียกร้องให้”ปลดล็อก”พรรคการเมือง
ขณะเดียวกัน 1 เรียกร้องให้เคารพต่อคำมั่นสัญญาที่ว่าจะต้องมี “การเลือกตั่ง”อย่างแน่นอนภายในปลายปี 2560
เมื่อยืนหยัด เรียกร้อง ต่อเนื่องก็ส่ง”ผลสะเทือน”
อย่างน้อยก็มี “คำยืนยัน”ว่าจะไม่ “เตะถ่วง” และ”รั้งดึง”
เป็น “คำยืนยัน” อันมีแรงสะเทือนมาจาก”การยืนหยัด”