ติดเบรก ‘พ.ร.ก.อุ้มหาย’ ส่งตีความตัวช่วย ‘รบ.’ ?

หมายเหตุความเห็นนักวิชาการและเอ็นจีโอ กรณีวิปรัฐบาลเข้าชื่อไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของสมาชิกทั้งหมด เสนอความเห็นต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภา ว่า พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข มาตรา 172 วรรค 1 ซึ่งประธานสภาให้รอการพิจารณาไว้ก่อนตามมาตรา 173 จนกว่าจะได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ภายใน 60 วัน

โอฬาร ถิ่นบางเตียว
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

กรณีการเบรกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565-2566 ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ มองว่าเป็นการแก้เกี้ยวของรัฐบาลค่อนข้างชัดเจน พยายามที่จะใช้วิปรัฐบาล โดยใช้ ส.ส.ประมาณ 90 คนไปเบรก พ.ร.ก.อุ้มหาย และเคยกล่าวไปแล้วว่า พ.ร.บ.อุ้มหายเป็นกฎหมายที่มีประโยชน์จริงๆ และเป็นความเห็นพ้องต้องกันของทุกฝ่าย แต่ปัญหาที่ไม่ให้บังคับใช้เป็นเรื่องที่ไม่สมควรเกิดขึ้น เพราะไม่มีเหตุผลรองรับ เข้าใจว่ารัฐบาลคงถูกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) วางยาเอาไว้ แล้วรับเรื่องมา เมื่อตรวจสอบแล้วฝืนกระแสสังคมไม่ได้ รวมทั้งกระแสของ ส.ส. เมื่อไม่มีทางออก ประกอบกับเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี ถึงแม้ว่าจะเป็นโค้งสุดท้ายของรัฐบาล กฎหมายไม่ผ่านจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และรัฐบาลเองก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ แค่นั้นไม่พอยังพันไปถึงการเลือกตั้ง ส.ส.ด้วย จึงต้องใช้ช่องทางนี้ให้ทางศาลรัฐธรรมนูญตีความไปก่อน

การกระทำแบบนี้เป็นเรื่องศักดิ์ศรีของรัฐบาล แม้จะหมดสมัยการประชุมสภาแล้ว แต่จะให้ผ่านวาระนี้ไปไม่ได้ รัฐบาลต้องทำทุกอย่างเพื่อให้กฎหมายฉบับนี้ไม่แล้วเสร็จ โดยใช้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เพราะรัฐบาลรู้ว่ามีแนวโน้มว่า พ.ร.ก.ฉบับนี้อาจจะถูกตีตก เพราะเป็นการงดการบังคับใช้ 4 มาตราสำคัญๆ ใน พ.ร.บ.อุ้มหาย ส่วนการจะใช้ พ.ร.ก.ได้หรือไม่นั้นคงต้องรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง หากวินิจฉัยแล้วไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญสามารถใช้ได้เลย หลังจากนั้น ตร.จะต้องไปหาทางแก้ปัญหากันเอง โดยเฉพาะปัญหาในเรื่องอุปกรณ์ไม่พร้อม

ADVERTISMENT

การล้ม พ.ร.ก.อุ้มหาย มองว่าเป็นการชิงไหวชิงพริบ หากรัฐบาลไม่ทำ โดยเฉพาะพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะโดนเต็มๆ หากไปดูพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) รวมทั้งทุกพรรคไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.ก.ฉบับนี้ มองแล้วนายชวน หลีกภัย ประธานสภา พยายามช่วย พล.อ.ประยุทธ์ อย่างเต็มที่ ดูจากการเป็นประธานสภา แล้วให้วิปรัฐบาลสามารถเสนอรายชื่อ ส.ส.เพื่อให้ พ.ร.ก.ฉบับนี้ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเพื่อประวิงเวลา เพราะหากเปิดให้มีการอภิปรายแล้วไม่ผ่านสภา จะมีผลทันทีต่อการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งหน้า

ในเรื่องนี้ทางพรรคฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยที่จะออก พ.ร.ก.เพื่อไปงดการบังคับใช้ พ.ร.บ. อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านต้องคว่ำ พ.ร.ก.นี้แน่นอน เพราะเป็นการขยายเวลาการบังคับใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย หากฝ่ายค้านล้ม พ.ร.ก.ได้ ก็จะใช้ประโยชน์ในการหาเสียง ส.ส.

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มองว่ารัฐบาลถูก ตร.วางยาเอาไว้แล้ว แม้ว่าจะส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ฝ่ายค้านก็สามารถเอาไปหาเสียงได้ โดยเฉพาะความไม่จริงใจของรัฐบาล โดยเฉพาะพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่มีการอุ้มหายไปจำนวนมาก

การล้ม พ.ร.ก.อุ้มหายในครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับประชาชนคนชายขอบ ที่อยู่ในกระบวนการที่มีโอกาสถูกกระทำ โดยเจ้าหน้าที่รัฐอย่างไม่ชอบธรรม หากรัฐบาลจริงใจต้องเร่งให้กฎหมายอุ้มหายใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่รัฐบาลพยายามประวิงเวลา ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมารักษาเกียรติ รวมทั้งรักษาหน้าตาของรัฐบาล ตอนนี้ฝ่ายค้านยิ้มแล้ว เพราะเข้าทางฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่พรรค รทสช.ยังพอมีกระแสอยู่ ช่วงนี้กระแสอาจจะลบลงไปแล้ว

หากมองย้อนไปจะเห็นว่า ผบ.ตร.ออกมาพูดหลังจาก พ.ร.บ.อุ้มหายผ่านไปแล้ว ในชั้นกรรมาธิการก็ให้คนไปชี้แจงว่าทำได้ พร้อมทุกอย่าง แต่ ผบ.ตร.มาพลิกบอกว่าอุปกรณ์เครื่องมือไม่พร้อม

พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ
ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม

ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นเกมการเมือง ปกติแล้ว คนที่เดือดร้อนจากการประกาศ พ.ร.ก. คือผู้ไปขอความเป็นธรรมในการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ร้องกระบวนการต่างๆ เพื่อขอความเป็นธรรมให้ตัวเองจะได้ไม่ถูกละเมิดสิทธิ แต่ครั้งนี้กลายเป็นว่าคณะ ส.ส.ของรัฐบาลซึ่งอยู่ในครม. ซึ่งทำหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญ อาศัยช่องในการไม่ให้สภาผู้แทนราษฎรอภิปรายไม่อนุมัติ พ.ร.ก. จึงเห็นว่าเป็นเกมการเมือง แม้ว่าเมื่อวันศุกร์ (24 ก.พ.) ที่ผ่านมา นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎรจะตัดสินใจเปิดโอกาสให้อภิปราย เราไม่รู้ว่าเสาร์-อาทิตย์เกิดอะไรขึ้น หรือแม้กระทั่งวันจันทร์ ทำให้สภาถูกทำเหมือนเป็นเวทีตลกเรียกกันมา 300 กว่าคนเพื่อที่จะบอกว่ามี ส.ส. บางส่วนของรัฐบาลไม่เห็นด้วยกับการเปิดสภาในการทบทวนการออก พ.ร.ก.

ซึ่งแนวโน้มคือ ส.ส.ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการออก พ.ร.ก. ดังนั้น ถ้าให้โหวตก็เชื่อว่าจะมีการโหวตไม่อนุมัติ พ.ร.ก. จะส่งผลให้ พ.ร.ก.อุ้มหาย ทั้งฉบับมีผลใช้ทันที เพราะ พ.ร.ก.จะสิ้นผลทันทีถ้ามีการโหวต จึงถูกชิงดำไปก่อน กล่าวคือ ส.ส.รัฐบาล 100 คน ร่วมกันลงชื่อยื่นให้นายชวน จริงๆ แล้วตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 173 เป็นมาตราที่ต่อจาก 172 คือ เหตุผลของการออก พ.ร.ก. เราเชื่อว่าไม่ชอบตามรัฐธรรมนูญ การที่นายชวนนำจดหมายน้อยจาก ส.ส. 100 คนมานั้น นายชวนสามารถตัดสินใจไม่ยื่นในวันดังกล่าวก็ได้ โดยรับมาแล้วขอพิจารณาตามหน้าที่ซึ่งมาตรา 173 ของรัฐธรรมนูญระบุไว้ว่า ‘…ภายใน 3 วัน’ ดังนั้น โอกาสที่นายชวนจะเปิดให้ ส.ส.ทุกคนได้อภิปรายอย่างเต็มที่แล้วโหวตภายในวันดังกล่าว ก็สามารถทำได้ แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงไม่ทำ กลับดับไฟเสียแต่ต้นลม ปิดสมัยประชุมโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของ ส.ส. บางส่วนที่อาจจะอยากพูด อยากกดไมโครโฟนบอกเหตุผล

ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเท่ากับว่า ณ ตอนนี้ เราย้อนกลับไปใช้กฎหมายเดิม ตำรวจมีหน้าที่จับกุม ควบคุมตัวบุคคล ไม่ต้องติดกล้อง ทั้งที่จริงๆ แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องติดกล้อง และอย่างไรก็มีกล้องอยู่แล้ว ผลที่จะเกิดขึ้นในทางตัวกฎหมาย อาจมีไม่มากเท่ากับผลที่จะเกิดขึ้นกับระบบรัฐสภา เพราะเท่ากับว่าในอนาคตหลังวันที่ 1 ตุลาคม เป็นต้นไป ถ้าเรามีรัฐบาลใหม่ มีคณะรัฐมนตรีใหม่ เขาสามารถทำแบบนี้ได้อีก โดยการทำให้กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย แล้วอาจจะล้มทั้งฉบับก็ได้ ทำแบบนี้ไปอีกเรื่อยๆ แสดงว่าระบบรัฐสภาไม่ได้รับการเคารพ

ส่วนในเนื้อหาสำคัญของ พ.ร.บ.อุ้มหาย ฉบับนี้ เป็นมาตรการป้องกันที่จะไม่ให้เกิดการทรมาน การอุ้มหาย อุ้มฆ่า อุ้มแล้วซ่อนศพ ทำร้ายร่างกายจิตใจ แต่มาตรการอื่นๆ ที่เรียกว่าการปราบปรามและการคุ้มครองสิทธิ ยังคงใช้ได้อยู่ เช่น ถ้าเราพบเห็นว่ามีการทรมาน มีด่านที่ไม่ถูกต้อง จับประชาชนไปแล้วปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรม บังคับตรวจปัสสาวะ บังคับให้ยืนเฉยๆ อะไรทำนองนี้ที่สุ่มเสี่ยงว่าจะถูกทรมาน หรือจับไปในที่ลับ ถ้ารู้ หรือเป็นผู้เสียหายเอง สามารถแจ้งไปที่อัยการได้ เพราะมีการเปิดศูนย์รับเรื่องร้องเรียนไว้แล้ว 113 ศูนย์ เราก็ยังมีความหวังอยู่ว่า แม้จะป้องกันไม่ได้โดยผู้จับกุมเอง แต่ช่องทางการร้องเรียนเปิดกว้างอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสำนักงานอัยการสูงสุด

ชัยธวัช เสาวพนธ์
นักวิชาการอิสระ

การรที่ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลกว่า 100 คน ส่งเรื่อง พ.ร.ก.อุ้มหาย ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเป็นสิทธิที่ทำได้ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีแนวทางปฏิบัติชัดเจน ไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง อีกมุมหนึ่งสะท้อนว่า พรรคร่วมรัฐบาลเล่นเกมการเมือง เพราะพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ใช้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือถ่วงเวลาและเลื่อนบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว ทั้งที่กฎหมายดังกล่าวผ่านการพิจารณาสภา 3 วาระรวดแล้ว แต่ไม่สามารถบังคับใช้ตามกฎหมายได้ ส่งผลให้ประชาชนเสียโอกาสการคุ้มครอง สิทธิเสรีภาพ ติดตามผู้สูญหาย ชดใช้และเยียวยาจากกฎหมายดังกล่าว

กฎหมายดังกล่าว เสนอโดยพรรคฝ่ายค้านเพื่อคุ้มครองสิทธิประชาชน แต่พรรคร่วมรัฐบาล 4 พรรค พปชร. ภท. พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กลับส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ สะท้อนว่าต้องการยื้อเวลา และชิงความได้เปรียบทางการเมือง เนื่องจากใกล้เลือกตั้ง ส.ส. สมัยหน้าแล้ว โดยเฉพาะ ภท. พยายามโจมตีพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค เพื่อลบล้างภาพเผด็จการที่สืบทอดอำนาจ เป็นประชาธิปไตย มากขึ้น ภายใต้คำขวัญ หรือสโลแกนว่า พูดแล้วทำ เพื่อเรียกคะแนนนิยมให้พรรค และผู้สมัคร ส.ส.ทั่วประเทศ

ความจริงไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ สามารถประกาศในราชกิจจานุเบกษาบังคับใช้เป็นกฎหมายได้เลย แต่การเลื่อนบังคับใช้กฎหมาย 4 มาตรา อ้างว่าการจัดซื้อกล้องวงจรปิดหรือซีซีทีวีกว่า 120,000 ตัว เพื่อใช้รองรับกฎหมายดังกล่าวยังไม่พร้อม ไม่ใช่เหตุผลที่เลื่อน แต่ทำให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจพรรคร่วมรัฐบาลเอง เพราะมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง

ถ้าสภาไม่เลื่อนกฎหมายดังกล่าว เป็นสัญญาณว่า พรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่นเกาะกลุ่มกันอยู่ ถ้าเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายอาจสร้างความไม่พอใจให้ประชาชนได้ ไม่สนับสนุนเลือกตั้งได้ ขณะเดียวกันฝ่ายค้านสามารถใช้เรื่องดังกล่าวโจมตีรัฐบาลและหาเสียงเลือกตั้งได้ เพื่อเรียกคะแนนนิยมได้เช่นกัน หากฝ่ายค้านชนะเลือกตั้งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ เชื่อว่าจะผลักดัน พ.ร.ก.อุ้มหาย เข้าสู่การพิจารณาสภาอีกครั้ง เพื่อลงมติกฎหมายดังกล่าวใช้บังคับเป็นกฎหมาย นำไปสู่การคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพประชาชนโดยเร็วที่สุด