ย้อนชนวน ‘ยุบสภา’ 15 ครั้ง จากยุคพระยาพหลฯ ถึงรัฐบาลประยุทธ์ 

ย้อนชนวน ‘ยุบสภา’ 15 ครั้ง จากยุคพระยาพหลฯ ถึงรัฐบาลประยุทธ์ 

20 มีนาคม 2566 : ในที่สุด “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตัดสินใจยุบสภา 3 วันก่อนครบอายุสภาผู้แทนราษฎร เพื่อชิงความได้เปรียบตามกติการัฐธรรมนูญ 2560 ในการเปิดรับอดีต ส.ส.ย้ายเข้าพรรคใหม่ พรรครวมไทยสร้างชาติ โดยการยุบสภาครั้งนี้ถือ เป็นการยุบสภาครั้งที่ 15 ของประวัติศาสตร์เมืองไทย ในระบบรัฐสภาที่ผ่านมา

“มติชนออนไลน์” ขอพาย้อน “ชนวนเหตุ” การยุบสภา 14 ครั้งที่ผ่านมา ดังนี้

  • ครั้งที่ 1 : สมัย พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา 

ยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2481 เนื่องจากได้มีการเสนอญัตติขอแก้ไขข้อบังคับการประชุม และการปรึกษาของสภาผู้แทนราษฎร ข้อ 68 เกี่ยวกับการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ เพื่อพิจารณารับหลักการของนายถวิล อุดล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด โดยเสนอขอให้รัฐบาลจัดทำรายละเอียดของงบประมาณประจำปีในเวลาเสนองบต่อรัฐสภา ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถปฏิบัติตามได้ และรายละเอียดบางข้อก็ไม่อาจเปิดเผยได้ ปรากฏว่ารัฐบาลแพ้มติสภา นายกรัฐมนตรีได้กราบถวายบังคมทูลลาออกจากตำแหน่ง แต่คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เห็นว่าสถานการณ์โลกยังไม่มั่นคง และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลกำลังจะเสด็จนิวัติพระนคร รัฐบาลจึงควรอยู่ต่อไป นายกรัฐมนตรีจึงขอให้ออกพระราชกฤษฎีกายุบสภาเพื่อให้เลือกตั้งสมาชิกประเภทที่ 1 ใหม่

  • ครั้งที่ 2 : สมัย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช 

ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2488 เนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้รับเลือกตั้งมาตั้งแต่ พ.ศ.2481 ได้มีพระราชบัญญัติขยายกำหนดเวลาให้อยู่ในตำแหน่งต่ออีก 2 ครั้ง ทั้งนี้เพราะไม่อาจจัดให้มีการเลือกตั้งในระหว่างสงครามขณะนั้นได้ (สงครามโลก ครั้งที่ 2) ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดดังกล่าวอยู่ในตำแหน่งนานเกินควรย่อมเป็นเหตุให้จิตใจ และความคิดเห็นของสมาชิกส่วนมากเหินห่างจากเจตนา และความประสงค์อันแท้จริงของราษฎร ประกอบกับรัฐบาลได้เสนอร่างพระราชบัญญัติอาชญากรสงครามเข้าสู่การพิจารณาของสภา บรรดาสมาชิกได้อภิปรายอย่างรุนแรง และลงมติไม่เห็นชอบด้วยกับหลักการบางมาตราของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว

Advertisement
  • ครั้งที่ 3 : สมัย สัญญา ธรรมศักดิ์ 

ยุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2516  เนื่องจากภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในขณะนั้นได้มีการดำเนินการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งแต่งตั้งไว้สมัยจอมพล ถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี จำนวน 299 คน ปรากฏว่ามีกลุ่มนักศึกษาและประชาชนได้เคลื่อนไหวขอให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดดังกล่าวลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแต่งตั้งสมาชิกชุดใหม่ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดดังกล่าวจึงได้ทยอยกันลาออกจากตำแหน่ง จนเหลือเพียง 11 คน ซึ่งไม่เพียงพอที่จะเป็นองค์ประชุม จึงได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อจะได้แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติขึ้นใหม่

  • ครั้งที่ 4 : ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช 

ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ.2519 เนื่องจากเกิดปัญหา ความแตกแยกและขัดแย้งในคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นรัฐบาลผสมในขณะนั้นอย่างรุนแรง อันเป็นเหตุให้เกิดอุปสรรคในการบริหารราชการแผ่นดินและส่งผลกระทบกระเทือนต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ประกอบกับจะมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2519 นายกรัฐมนตรีจึงได้ดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร

  • ครั้งที่ 5 : พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2526 เนื่องจากเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปลี่ยนวิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประชาชนและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต่างมีความเห็นแตกต่างกันไปหากให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามวิธีการใหม่ อาจนำไปสู่ความขัดแย้งและรุนแรงทางการเมือง รวมถึงความเสื่อมโทรมทางเศรษฐกิจ สังคม ความสามัคคีของคนในชาติ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้

Advertisement
  • ครั้งที่ 6 : พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2529 เนื่องจากรัฐบาลได้ออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2529 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านได้ลงมติไม่รับพระราชกำหนดดังกล่าว ซึ่งรัฐบาลเห็นว่าเกิดจากความขัดแย้งทางการเมืองของพรรคการเมืองบางพรรค หากให้สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ทำหน้าที่ต่อไปอาจเกิดผลกระทบต่อนโยบายของรัฐบาลอย่างรุนแรง และกระทบถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ

  • ครั้งที่ 7 : พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ.2531 เนื่องจากรัฐบาลเห็นว่าเกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความไม่มั่นคงในเสถียรภาพของรัฐบาลอันส่งผลให้เกิดอุปสรรคในการบริหารราชการแผ่นดิน  และการพัฒนาประเทศ

  • ครั้งที่ 8 : อานันท์ ปันยารชุน

ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2535 การยุบสภาในครั้งนี้ สืบเนื่องจากการสืบทอดอำนาจของคณะ รสช. ซึ่งทำให้เกิดวิกฤตทางการเมืองอย่างรุนแรง จากเหตุการณ์ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2535 โดยมีการเรียกร้องให้พลเอก สุจินดา คราประยูร ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดให้มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะกิจ เพื่อจะได้ใช้กระบวนการทางรัฐสภาและรัฐธรรมนูญ คืนอำนาจให้กับประชาชน ซึ่งในขณะนั้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกตั้งและจะจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ปัญหาวิกฤตทางการเมือง รัฐบาลจึงได้ดำเนินการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไปใหม่

  • ครั้งที่ 9 : ชวน หลีกภัย 

ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2538 เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยพรรคการเมืองหลายพรรค แต่ไม่ปรากฏว่ามีพรรคการเมืองใดที่มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาล แต่ปรากฏว่าเกิดความแตกแยกในหลายพรรคการเมืองและระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลจนไม่สามารถจะดำเนินการในทางการเมืองได้อย่างมีเอกภาพ ประกอบกับได้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีจากผลการปฏิบัติงานเรื่องการออกเอกสารสิทธิให้ประชาชนเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) และมีการลาออกของพรรคการเมือง (พรรคพลังธรรม) ร่วมรัฐบาล ซึ่งทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน

  • ครั้งที่ 10 : บรรหาร ศิลปอาชา

ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2539 เหตุผลการยุบสภา ภายหลังมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ระหว่างวันที่ 18-20 กันยายน พ.ศ.2539 โดยฝ่ายค้านเน้นอภิปรายที่ตัวนายบรรหาร ศิลปอาชา เรื่องประเด็นสัญชาติ เมื่อการอภิปรายสิ้นสุดลง ที่ประชุมพรรคร่วมรัฐบาลมีมติร่วมกันว่าจะขอให้นายบรรหาร ศิลปอาชา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายบรรหาร ศิลปอาชา ก็ประกาศผ่านสื่อว่าจะลาออกภายใน 7 วัน โดยระหว่างนั้นจะพิจารณาบุคคลที่เหมาะสมขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ก่อนจะเปลี่ยนใจประกาศยุบสภาในท้ายที่สุด

  • ครั้งที่ 11 : ชวน หลีกภัย

ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2543 ภายหลังเข้ามาปฏิบัติภารกิจสำคัญๆ หลายประการจนแล้วเสร็จหรือลุล่วงลง โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาจากวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 (เศรษฐกิจฟองสบู่) ซึ่งทำให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประกอบกับรัฐสภาให้ความเห็นชอบกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาแล้ว จึงเป็นสาเหตุที่นำมาสู่การยุบสภา

  • ครั้งที่ 12 : พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 ภายหลังเกิดการชุมนุม สาธารณะตั้งข้อเรียกร้องในทางการเมือง และได้ขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง ส่อเค้าว่าจะมีการเผชิญหน้าจนอาจปะทะกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย และอาจมีการสอดแทรกฉวยโอกาสจากผู้ที่ประสงค์จะเห็นความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง แม้รัฐบาลได้พยายามแก้ไขปัญหาด้วยการเปิดให้มีการอภิปรายทั่วไป โดยไม่มีการลงมติในที่ประชุมรัฐสภาก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกันระหว่างผู้ชุมนุมเรียกร้องกับรัฐบาลได้ สภาพดังกล่าวย่อมไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ ในที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงตัดสินใจประกาศยุบสภา

  • ครั้งที่ 13 : อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2554 หลังจากเข้ามาคลี่คลาย ปัญหาทางเศรษฐกิจและความขัดแย้งและความแตกแยกในสังคมโดยเฉพาะเรื่องการเมือง ประกอบกับรัฐสภาได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ.2550 ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ของบ้านเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปเรียบร้อยแล้ว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงตัดสินใจคืนอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองให้แก่ประชาชน ด้วยการประกาศยุบสภา

  • ครั้งที่ 14 : ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2556 หลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมจากหลายภาคส่วนร่วมกันเดินขบวนกดดันเจ้าหน้าที่รัฐตามสถานที่ราชการต่างๆ คัดค้านการออกร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม พ.ศ.2556 โดยสถานการณ์การชุมนุมยังคงส่อเค้าว่าจะยืดเยื้อ และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แม้รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาด้วยการเปิดโอกาสให้ตัวแทนกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันแต่ก็ไม่เป็นผล ดังนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงตัดสินใจประกาศยุบสภาโดยให้เหตุผลว่า เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง และเป็นการคืนอำนาจให้พี่น้องประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจกับการเลือกตั้งครั้งใหม่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image