ผู้เขียน | เดินหน้าชน |
---|
ฝุ่นพีเอ็ม2.5 อณูละอองเทียบได้ประมาณ 1 ใน 25 ส่วนเส้นผ่านศูนย์กลางของผมมนุษย์ กระจิ๋วหลิวแต่สร้างปัญหาระดับอภิมหาภัยร้าย กำลังอาละวาดไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ยกเว้นภาคใต้ที่มีกระแสลมทะเลช่วยพัดกระจายตัว
ด้านสุขภาพ ความที่ขนาดกระจิริดจนขนจมูกคนไม่สามารถกรองได้ ส่งผลต่อการระคายเคืองดวงตา ผิวหนังเกิดผื่นคัน โจมตีระบบทางเดินหายใจ สะสมไปนานวันถึงขั้นมะเร็งปอด
ร้ายไปกว่านั้นมีผลการศึกษายืนยัน พีเอ็ม2.5 ไปรบกวนเซลล์สมองให้เกิดการอักเสบ การทำงานผิดปกติสร้างปัญหาสมองเสื่อมเร็วกว่าปกติ
ในเด็กหลายงานวิจัยยืนยันความสัมพันธ์ของระดับพีเอ็ม2.5 ต่อความผิดปกติทางด้านพัฒนาการทางสติปัญญา เช่น มีสติปัญญาด้อยลง การพัฒนาการช้าลง มีปัญหาการได้ยินและพูด เกิดภาวะสมาธิสั้น
ในผู้ใหญ่ การได้รับฝุ่นพีเอ็ม2.5 สะสมเป็นเวลานาน ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์เพิ่มมากขึ้นถึง 3 เท่า รวมทั้งเกิดความเสี่ยงของโรคเส้นเลือดสมองเพิ่มขึ้น
ที่น่าตกใจ คือผลกระทบด้านเศรษฐกิจมากมายมหาศาลอย่างคาดไม่ถึง ธนาคารโลกประเมินว่าต้นทุนเศรษฐกิจของไทยจากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กนี้ เพิ่มจาก 2.10 แสนล้านบาท ในปี 2533 เป็น 8.71 แสนล้านบาท ในปี 2556
สำทับด้วยผลศึกษาของ รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เกี่ยวกับต้นทุนของสังคมไทยจากมลพิษทางอากาศ
อาศัยข้อมูลจากการสำรวจความพึงพอใจและความสุขในชีวิตของคนไทยและรายได้ครัวเรือนของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าในปี 2562 ฝุ่นพีเอ็ม2.5 สร้างมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์ต่อครัวเรือนไทย 2.173 ล้านล้านบาท เท่ากับ 9% ของจีดีพี
คิดเป็นค่าใช้จ่ายของครัวเรือนที่ประมาณ 6,800 บาทต่อครัวเรือนต่อ 1 ไมโครกรัมของฝุ่นพีเอ็ม2.5 ที่เกินมาตรฐานต่อปี
หากรวมทุกสารมลพิษพบว่า ในปี 2562 มูลค่าความเสียหายต่อครัวเรือนไทยจะสูงถึง 4.616 ล้านล้านบาท ประมาณ 14-15% ของจีดีพี หรือคิดเป็นค่าใช้จ่ายของครัวเรือนเดือนละเป็นหลักหมื่นบาท
เสียดายยังไม่มีการประเมินในปีปัจจุบัน แต่เชื่อว่าความสูญเสียน่าจะพุ่งขึ้นไปอีก
มีการขยับจากภาครัฐ เมื่อ 15 มีนาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติยกระดับมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากฝุ่นละอองในช่วงสถานการณ์วิกฤตขณะนี้
มาตรการเร่งด่วน ประกาศปิดป่าที่มีสถานการณ์ไฟป่าอยู่ในระดับวิกฤต กำหนดมาตรการในการจำกัดเวลา พื้นที่ และปริมาณสำหรับรถบรรทุกที่จะเข้ามาในเขตเมือง ให้ทุกหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายกับผู้ลักลอบเผา หรือผู้กระทำผิดอย่างเข้มงวด
นั่นเป็นเพียงปะทะปะทังปัญหาเฉพาะหน้าของปีนี้
ต้องจับตาคือ แผนระยะยาวที่จะใช้ดำเนินการระหว่างปี 2567-2570 ออกมาหลากหลายมาตรการ ส่วนใหญ่เป็นด้านงบประมาณ แผนงานกว้างๆ
แต่น่าสนใจ หนึ่งในนั้นให้กระทรวงทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลัง ร่วมกำหนดมาตรการนำรถเก่าออกจากระบบ มาตรการจำกัดปริมาณรถและโรงงานอุตสาหกรรม
เรื่องนี้พูดคุยมานานนับสิบปีแล้ว แต่ไม่เคยถูกนำมาขับเคลื่อนบังคับใช้อย่างจริงจังเสียที ทั้งที่เป็นตัวการสำคัญก่อให้เกิดมลพิษในอากาศ สร้างปัญหาสุขภาพประชาชน มูลค่าทางเศรษฐกิจเสียหายมหาศาล
จากนี้คงต้องลุ้นกัน รัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้งจะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาให้ความสำคัญ สานต่อให้จับต้องได้อย่างไร
ไม่เช่นนั้น วิกฤตฝุ่นพีเอ็ม2.5 เราตายกันหมด
สัญญา รัตนสร้อย