เก็ทลุยทำเนียบ จี้ ‘ปล่อยเพื่อนอีก 5’ แอมเนสตี้ฯโกย 8,517 ชื่อยื่นบิ๊กตู่–หยุดข้อกล่าวหาการเมือง

เก็ทลุยทำเนียบ จี้ ‘ปล่อยตัวอีก 5 คน’ แอมเนสตี้ฯ โกย 8,517 ชื่อยื่นบิ๊กตู่–หยุดข้อกล่าวหาการเมือง

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 22 มีนาคม ที่เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ บริเวณทำเนียบรัฐบาล เขตดุสิต กรุงเทพฯ นางปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ร่วมกับนักกิจกรรมทางการเมือง นำโดย นายโสภณ สุรฤทธิ์ธำรง หรือ เก็ท โมกหลวงริมน้ำ ผู้ต้องหาคดี ม.112 ที่เคยอดนอนประท้วงสิทธิประกันให้กับผู้ต้องหาทางการเมืองคนอื่นๆ น.ส.ณัฐนิช ดวงมุสิทธิ์ หรือใบปอ และ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ หนอนบุ้ง 2 เยาวชนนักกิจกรรมกลุ่มทะลุวัง

นำ 8,517 รายชื่อของประชาชนในประเทศไทยที่ร่วมเรียกร้องผ่านปฏิบัติการด่วนของแอมเนสตี้ฯ มามอบให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัว ยกเลิกข้อกล่าวหาต่อนักกิจกรรม และขอให้รัฐบาลไทยปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของไทย รวมทั้งสิทธิที่จะได้รับการประกันตัว สิทธิในเสรีภาพการแสดงออก การสมาคมและการชุมนุมโดยสงบ โดยมี นายสมพาศ นิลพันธ์ รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนจากทำเนียบรัฐบาลมารับรายชื่อแทนนายกรัฐมนตรี

นางปิยนุช ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ฯ ประเทศไทย เผยว่า ตามที่สำนักเลขาธิการใหญ่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ได้ออกปฏิบัติการด่วนเชิญชวนสมาชิก นักกิจกรรม และผู้สนับสนุนร่วมกันส่งจดหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักกิจกรรม ยกเลิกข้อกล่าวหาทั้งหมด และให้การประกันว่า นักกิจกรรมที่อดอาหารประท้วงจะได้รับการคุ้มครองจากการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายอื่นๆ รวมทั้งได้รับการดูแลสุขภาพที่สอดคล้องตามจริยธรรมทางการแพทย์ ทั้งยังกระตุ้นให้ทางการไทยปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ที่กำหนดให้รัฐบาลไทยต้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชน ทั้งสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งการรณรงค์นี้มีถึงวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา

Advertisement

“แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยและทั่วโลก ได้ติดตามสถานการณ์การใช้สิทธิในเสรีภาพการการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งมีการเก็บข้อมูลสถานการณ์ ทำการวิจัย สื่อสารต่อภาครัฐ และรณรงค์สาธารณะ ในประเทศ นับตั้งแต่ปี 2563 พบว่ารัฐบาลปราบปรามผู้ที่ออกมาใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกเเละการชุมนุมประท้วงโดยสงบและผู้ที่เห็นต่าง จากการดำเนินคดีอย่างน้อย 1,895 คน ในจำนวน 1,180 คดี และทางการปฏิเสธสิทธิที่จะได้รับการประกันตัวระหว่างต่อสู้คดีต่อบุคคลมากสุดถึง 21 คน ซึ่งปัจจุบันยังคงมีผู้ถูกคุมขังทางการเมืองอย่างน้อย 5 คน” นางปิยนุชชี้

นางปิยนุชกล่าวต่อว่า สิทธิที่จะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวสอดคล้องกับหลักการที่ว่า “ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด” อย่างไรก็ตาม คดีของผู้ถูกกล่าวหาทางการเมือง สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมกลับถูกยกเว้นอย่างเป็นระบบ ด้วยการใช้ดุลพินิจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่เน้นการควบคุมตัวบุคคลเหล่านี้เป็นหลักและการปล่อยชั่วคราวเป็นข้อยกเว้น ซึ่งขัดแย้งต่อพันธกรณีระหว่างประเทศที่รัฐไทยให้สัตยาบันตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งรับรองสิทธิในการปล่อยตัว มิให้ถือเป็นหลักทั่วไปในการควบคุมตัวบุคคลเพื่อรอพิจารณาคดี โดยการที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวต้องเป็นไปตามหลักความจำเป็น หลักการห้ามเลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งความแตกต่างทางความคิดเห็นทางการเมือง และว่าด้วยสิทธิในความเท่าเทียมกันในการพิจารณา ซึ่งรับรองหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์เพื่อยับยั้งการตัดสินไปก่อนที่คดีจะสิ้นสุด

Advertisement

“ที่ผ่านมาทางการไทยมักตอบโต้กับขบวนการเรียกร้องการปฏิรูปเเละการชุมนุมประท้วงโดยสงบที่นำโดยเยาวชนที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2563 ด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทางการยังคงใช้การคุกคามด้วยกระบวนการกฎหมาย การสอดแนมข้อมูล และการคุกคามบุคคลที่แสดงความเห็นต่าง ระหว่างการชุมนุมประท้วงหรือการเเสดงความคิดเห็นในโลกออนไลน์ ทางการปฏิเสธไม่ให้บุคคลมีสิทธิที่จะได้รับการประกันตัว ควบคุมตัวพวกเขาโดยพลการ และกำหนดเงื่อนไขการประกันตัวที่เกินขอบเขต ที่รวมถึงเงื่อนไขที่ให้มีการกักขังในบ้าน โดยกำหนดให้นักกิจกรรมต้องร้องต่อศาลเพื่อขออนุญาตออกจากบ้านของตนเอง และการจำกัดอย่างกว้างขวางต่อการใช้สิทธิโดยสงบ”

“ตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของไทย กำหนดให้รัฐบาลต้องคุ้มครองสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบอย่างมีประสิทธิภาพ คณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการเคยให้ความเห็นไว้ว่า ในทางปฏิบัติทางการไทยยังคงใช้การดำเนินคดีและการควบคุมตัวโดยพลการต่อผู้ต้องสงสัยในข้อหาหมิ่นสถาบันฯ ที่เป็นการละเมิดต่อพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนสากล” นางปิยนุชกล่าว

ดังนั้น ทางแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล จึงมีข้อเรียกร้องถึงรัฐบาลไทย ดังต่อไปนี้

1. ปล่อยตัว ยกเลิกข้อกล่าวหา และยุติการกำหนดเงื่อนไขการประกันตัวที่เข้มงวดเกินกว่าเหตุโดยทันทีและอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อบุคคลที่ตกเป็นเป้าหมายเพียงเพราะการใช้สิทธิของตน ตลอดจนยกเลิกการดำเนินคดีอาญาทั้งหมด

2. ประกันว่านักกิจกรรมที่อดอาหารประท้วงจะได้รับการคุ้มครองจากการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายอื่นๆ อย่างเร่งด่วน และได้รับการดูแลสุขภาพที่สอดคล้องตามจริยธรรมทางการแพทย์ รวมทั้งหลักการของการเก็บข้อมูลเป็นความลับ การตัดสินใจด้วยตนเอง และการให้ความยินยอมที่ได้รับการบอกกล่าว

3. แจ้งต่อเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของไทย รวมทั้งสิทธิที่จะได้รับการประกันตัว สิทธิในเสรีภาพการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุมโดยสงบ

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image