แอมเนสตี้ ย้อนบทบาท รบ.ไทย เคยช่วยผู้ลี้ภัย วอนอย่าส่งกลับ ‘ชาวเมียนมา’ หลังหนี รปห. ถูกสอบปากคำที่ อ.แม่สอด
สืบเนื่องเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 14 อ.แม่สอด, กองกำลังนเรศวร, เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง จ.ตาก และฝ่ายปกครอง อ.แม่สอด พร้อมหน่วยข่าวด้านความมั่นคง นำกำลังเข้าตรวจค้นอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น เกือบ 40 คูหา บริเวณกลางหมู่บ้านมารวย ย่านชุมชนหนาแน่น ถนนตาลเดี่ยว ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก พร้อมสอบปากคำพลเมืองเมียนมาประมาณ 100 คนซึ่งในนั้นมีเด็กรวมอยู่ด้วย เมื่อวันที่ 22 มี.ค. และ 23 มี.ค. ที่ผ่านมา หลังจากสืบทราบว่ามีกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า โดยเฉพาะกลุ่มกองกำลังป้องกันประชาชน หรือ PDF หนีข้ามจากฝังเมียนมาเข้าหลบอาศัยอยู่ในพื้นที่แม่สอด นั้น
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม นาง เส็ง (Nang Sein) นักวิจัยประเทศเมียนมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า ทางการไทยต้องไม่เนรเทศพลเมืองเมียนมากลับไปประเทศเมียนมา ซึ่งพวกเขาอาจเสี่ยงที่จะถูกคุมขัง ทรมาน หรือสั่งประหารชีวิตตามคำสั่งของกองทัพเมียนมา
“พลเมืองเมียนมาซึ่งหลบหนีข้ามพรมแดนเข้ามา ยังคงต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัว เพราะอาจถูกส่งกลับประเทศ และไม่ทราบชะตากรรมของตนเอง หลายคนหลบหนีจากบ้านเกิด หลังการทำรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เพื่อให้ปลอดภัยจากการปราบปรามการชุมนุมประท้วงอย่างรุนแรงของกองทัพเมียนมา พวกเขาต้องตกอยู่ในอันตราย เพียงเพราะเข้าร่วมการชุมนุมโดยสงบ หรือเพราะความเชื่อทางการเมืองของตน พวกเขาไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใครได้ และมีโอกาสในการหาเลี้ยงชีพไม่มากนัก”
“ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ประเทศไทยรองรับและให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับผู้ลี้ภัยทั่วทั้งภูมิภาค ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมาและรัฐภาคีอาเซียน ประเทศไทยสามารถมีบทบาทให้ความคุ้มครองที่จำเป็นต่อประชาชนที่หลบหนีจากการถูกกดขี่และปราบปรามในเมียนมา”
“ทางการไทยควรยึดมั่นตาม ‘หลักการไม่ส่งกลับ’ (principle of non-refoulement) ที่รับรองตามกฎหมายระหว่างประเทศ และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ของไทยเอง ประชาชนเหล่านี้มีสิทธิที่จะมีชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี และเข้าถึงการขอลี้ภัย” นาง เส็ง กล่าว
ทั้งนี้ แอมเนสตี้ฯ ยังชี้ด้วยว่า จากกรณีดังกล่าว แอมเนสตี้ฯ ทราบข้อมูลจากสมาชิกชุมชนในท้องถิ่น ซึ่งระบุว่าทางการมีรายชื่อบุคคลที่เป็นเป้าหมายของการจับกุม รวมทั้งคนที่หนีทหาร อดีตข้าราขการที่เข้าร่วมกลุ่มขบวนการอารยะขัดขืน (Civil Disobedience Movement หรือ CDM) นักการเมือง นักกิจกรรม และบุคคลที่เป็นสมาชิกกลุ่มติดอาวุธ โดยคาดว่ามีประมาณ 100 คน รวมทั้งเด็กที่ถูกสอบปากคำด้านนอกห้องเช่าของตนเอง และต่อมาได้รับการปล่อยตัวในวันเดียวกันเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ตามข้อมูลของแกนนำชุมชน ทางการยังได้เข้าตรวจค้นอาคารอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่อยู่ของพลเมืองเมียนมาในวันที่ 23 มีนาคมที่อำเภอแม่สอด แกนนำชุมชนบอกว่า ทางการไทยมีรูปถ่ายและรายชื่อของบุคคลซึ่งกองทัพเมียนมาต้องการตัว
ในฐานะรัฐภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี ประเทศไทยมีพันธกรณีต้องไม่เนรเทศบุคคลในกรณีที่จะเกิดอันตรายอันไม่สามารถเยียวยาแก้ไขได้
กว่า 2 ปีหลังการทำรัฐประหารของกองทัพเมียนมา ได้เกิดการพลัดถิ่นฐานของประชาชนกว่า 1.4 ล้านคนในเมียนมา คาดการณ์ว่าประชาชน 52,000 คนได้หลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน ตามข้อมูลของสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ช่วงหลายปีที่ผ่านมา พลเมืองเมียนมาที่หลบหนีจากความรุนแรงและการประหัตประหารในเมียนมา ได้พยายามขอที่ลี้ภัยตามพรมแดนของประเทศไทย เป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นต่อไปหลังการทำรัฐประหาร คาดว่าประชาชน 22,400 คน ได้หลบหนีข้ามพรมแดนเข้าสู่ประเทศไทยตั้งแต่การทำรัฐประหาร
อ่านข่าว : ปิดล้อมอาคารพาณิชย์ 4 ชั้นแม่สอด เปิดที่พักให้กลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมา พบอุปกรณ์ทางทหารเพียบ