แนวร่วม มธ. ชวนรื้อโครงสร้าง ปฏิรูปให้หมด โละรัฐธรรมนูญฉบับโจร อย่าให้ประยุทธ์กลับมาอีก

วันที่ 28 มีนาคม 2566 - 16:10 น.

แนวร่วม มธ. ย้ำ 3 ข้อราษฎร เชื่อ ‘เลือกตั้ง 66’ เปลี่ยนได้ถึงโครงสร้าง ไม่ใช่แค่ตัวแสดงใหม่ ชูปฏิรูปกองทัพ ทหารเกณฑ์เลิกเป็นพ่อบ้านนายพล

วันที่ 28 มีนาคม ที่ ห้องประชุมใหญ่ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว กรุงเทพฯ กลุ่มราษฎรและแนวร่วม นำโดย น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือ มายด์ และ น.ส.เบนจา อะปัญ ตัวแทนแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม นายรัฐภูมิ เลิศไพจิตร โฆษกกลุ่มวีโว่ และ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ร่วมแถลงเดินหน้าก้าวต่อไปของฝ่ายประชาธิปไตย ในแคมเปญ “โหวตเพื่อเปลี่ยน” (Vote for Change) เพื่อเสนอทิศทางการเมืองไทย ต่อพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย องค์กรที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนในการเลือกทั่วไป พ.ศ.2566 ซึ่ง กกต.กำหนดวันเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมนี้

โดยเวลา 14.30 น. กิฟต์ ตัวแทนแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม กล่าวว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้สำคัญมากเพราะไม่ใช่แค่การเปลี่ยนตัวแสดงใหม่ แต่จะสามารถเปลี่ยนไปได้ถึงโครงสร้าง โดยวันนี้จะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวและการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ประเด็นแรกเรื่องกฎหมายมาตรา 112 ว่าทุกคนทราบดีว่ามีปัญหาอย่างไรบ้าง ทั้งตัวบทกฎหมายและคนใช้ล้วนมีปัญหาทั้งนั้น พี่น้องของเราหลายคนต้องเผชิญกับการถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม เรามีการพูดกันเสมอและมีการจัดการเสวนาในประเด็นเกี่ยวกับมาตรานี้ มีการย้ำปัญหาตลอดระยะเวลา 2-3 ปีทีผ่านมา

“เป้าหมายของเราในวันนี้คือต้องการยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 เพียงแต่ว่าในวันนี้พรรคการเมืองส่วนใหญ่ไปในทิศทางของการแก้ไขมากกว่า ซึ่งเราอยากให้มองว่าสิ่งนี้เป็นสัญญาณที่ดีมากที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคตอบรับว่าจะนำมาตรา 112 เข้าไปแก้ไขในสภาฯ และพูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน ถึงแม้ว่าเป้าหมายจริงๆ ของเราคือต้องการยกเลิก แต่กาที่พรรคการเมืองตอบรับเช่นนี้ก็ถือเป็นก้าวแรกที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างเป็นทางการ” กิฟต์ระบุ

กิฟต์กล่าวต่อว่า ประเด็นต่อมาคือการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม สืบเนื่องจากกฎหมายมาตรา 112 เราจะเห็นว่าตัวโครงสร้างของมาตรา 112 เองในการดำเนินก็มีปัญหาซึ่งรวมไปถึงกระบวนการยุติธรรมที่ใช้ในการดำเนินคดีด้วย ซึ่งไม่ใช่เพียงมาตรา 112 แต่เป็นคดีทางการเมืองทั้งหมดที่มักจะดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม วันนี้กระบวนการยุติธรรมกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ทำให้ความยุติธรรมหายไป ไม่ใช่แค่เพียงคดีทางการเมืองแต่รวมไปถึงคดีอื่นๆ ที่มีคู่คดีความเป็นผู้มีอำนาจ ผู้คนเหล่านี้ที่ทำความผิดก็มักจะลอยนวลไปได้ตลอด ความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรมเป็นสิ่งที่เราต้องแก้ไขและปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางกฎหมาย และหนึ่งสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปคือการนิรโทษกรรมนักโทษทางการเมืองซึ่งเป็นผลมาจากการรัฐประหาร เราจะเห็นว่านับตั้งแต่ปี 2557 มีผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมืองหลักพันคนและในวันนี้คดีก็ยังไม่สิ้นสุด

ประเด็นต่อมา คือการปฏิรูปกองทัพ การรัฐประหารไม่ใช่แค่การบ่อนทำลายประชาธิปไตยแต่ยังทำลายเสถียรภาพทางการเมือง และหลายๆ ครั้งทำให้สังคมหยุดชะงักเดินหน้าต่อไม่ได้ ดังนั้น ความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเราที่จำเป็นเราต้องการสร้างกลไกเพื่อป้องกันการรัฐประหาร และหลายๆคนอาจจะเคยได้เห็นภาพคนที่เป็นลมหลังจากจับได้ใบแดงในการเกณฑ์ทหาร ซึ่งการจับได้ใบแดงไม่ได้เป็นการพาไปฝึกเพื่อเป็นทหารอาชีพ แต่เป็นการฝึกเป็นพ่อบ้านมืออาชีพในบ้านของนายพลทั้งหลาย เวลาที่สูญเสียไปในการเกณฑ์ทหารไม่ได้ช่วยให้กองทัพมันคงขึ้น หากเป็นเช่นนั้นการเกณฑ์ทหารจะทำไปเพื่ออะไร

ประเด็นถัดมาคือการปฏิรูปเศรษฐกิจ สร้างรัฐสวัสดิการ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะในวันนี้เองเราได้เห็นภาพของการผูกขาด การควบรวมกิจการ สิ่งเหล่านี้สร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ซึ่งจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อยับยั้งการผูกขาดโดยนายทุนรายใหญ่ เพื่อให้ประชาชนรายย่อยสามารถลืมตาอ้าปากได้ สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในสังคม

“3 ข้อเรียกร้องของราษฎร ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และองคาพยพต้องลาออก ข้อนี้อาจจะหมดเวลาของเขาแล้วด้วยตัวเอง ครั้งนี้เราต้องเลือกตั้งเพื่อไม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์กลับมาอีก หนึ่งสิ่งที่เราต้องเปลี่ยนมากที่สุดคือ ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยเราจำเป็นจะต้องมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ (ส.ส.ร.) ซึ่งต้องมาจากการเลือกตั้ง เพราะรัฐธรรมนูญ 60 ที่เราใช้อยู่เป็นรัฐธรรมนูญฉบับโจร จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องห่างใหม่เพื่อให้กฎหมายสูงสุดของประเทศมีความยึดโยงกับประชาชนอย่างแท้จริง และข้อสุดท้ายเป็นข้อสำคัญที่เรายังอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงคือ การปฏิรูปสถาบันฯ” กิฟต์กล่าว

อ่านข่าว :