วิสาร ‘ชนะคดี’ ยกฟ้อง 50 ล. ‘ปม’ พิษอภิปรายไบโอเมทริกซ์ วงเงิน 2.1 พันล้าน

วิสาร “ชนะคดี ” ยกฟ้อง 50 ล. “ปม” พิษอภิปรายไบโอเมทริกซ์ วงเงิน 2.1 พันล้าน

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 31 มีนาคม ที่ศาลจังหวัดธัญบุรี นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ พร้อม นายจำนงค์ ไชยมงคล ทนายความได้ไปฟังคำพิพากษา ในคดีที่ นางสาววัชรี พรรณเชษฐ์ และบริษัท เอ็มเอสซีสิทธิผล จำกัด ฟ้องนายวิสาร ข้อหาหมิ่นประมาทและเรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท

กรณีอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ประเด็นส่อการทุจริตเอื้อประโยชน์การจัดซื้อระบบไบโอเมทริกซ์ (Biometric) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจพิสูจน์บุคคลโดยเทคโนโลยี(ลายพิมพ์นิ้วมือและภาพถ่ายใบหน้า) งบประมาณ 2,126,000,000 ล้านบาท

นายวิสาร กล่าวว่า การที่ตนยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจประเด็น เครื่องไบโอเมทริกซ์ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ ประโยชน์ประชาชน จนนำมาสู่การถูกฟ้องร้องด้วยเงินกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งตนก็ได้สู้สุดความสามารถ จนชนะทั้งคดีแพ่ง และคดีอาญา ตนต้องขอขอบคุณท่านผู้พิพากษา ที่ทรงความยุติธรรม หากแพ้คดีในครั้งนี้ก็ต้องยุติเส้นทางทางการเมือง ด้วยต้องคดีอาญาแผ่นดิน

Advertisement

อย่างไรก็ตาม ตนในฐานะอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เราขอยืนยันว่าเราทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อรักษาผลประโยชน์ของบ้านเมือง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเลือกตั้งอันใกล้นี้ พรรคเพื่อไทยจะชนะอย่างแลนด์สไลด์ เพื่อฟื้นคืนความสุขให้กับประชาชนที่หายไปกว่า 9 ปี

จากกรณีที่เครื่องไบโอเมทริกซ์ซึ่งมีการส่งมอบงานล่าช้าแต่ไม่มีการปรับ ซึ่งเครื่องไม่มีประสิทธิภาพ ราคาสูง มีการเปลี่ยนยี่ห้อกล้องหลังจากทำสัญญาแล้ว โดยมีการอภิปรายพาดพิงถึงโจทก์ทั้งสองและภรรยา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งศาลธัญบุรีพิเคราะห์หลักฐานแล้วพิพากษาว่า

เนื้อหาของการอภิปรายดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริงหาใช่เป็นเรื่องที่จำเลยสร้างขึ้นมาเองเพื่อใส่ความโจทก์ทั้งสองแต่อย่างใดแม้มีการกล่าวพาดพิงไปถึงโจทก์ทั้งสองก็ตามแต่เป็นการตั้งข้อสังเกตในฐานะ ส.ส.พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านในขณะนั้นเมื่อตรวจสอบพบหลักฐานความไม่ชอบมาพากลของโครงการดังกล่าวซึ่งเกี่ยวข้องกับการบริหารของนายกรัฐมนตรีย่อมชอบที่จำเลยจะแสดงความคิดเห็นได้โดยสุจริตติชมด้วยความเป็นธรรม

Advertisement

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเลยเป็นผู้แทนราษฎร เป็นตัวแทนของประชาชนย่อมมีหน้าที่ต้องตรวจสอบและรักษาผลประโยชน์ของประชาชน หาใช่เป็นการจงใจใส่ความโจทก์ทั้งสองให้ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด

การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 (3 )พิพากษายกฟ้อง มีข้อสังเกตวันนี้จำเลยและทนายจำเลยไปศาลแต่โจทก์และทนายโจทก์ไม่มาศาล ศาลจึงได้อ่านคำพิพากษาให้ฝ่ายจำเลยฟังฝ่ายเดียว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image