⦁…รายละเอียด “พ.ร.บ.พรรคการเมือง” ที่ถูกตีความว่า “เจตนาล้อมกรอบนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง” ในระดับ “เวทนาในชะตากรรมตัวเอง” กระทั่วมีความเชื่อว่า “คนที่หวังดีกับชีวิตตัว ยากจะเข้ามาเกลือกกลั้วกับอาชีพนักการเมือง” วันนี้ดูเหมือนว่า จะเปิดทางทบทวนไม่น้อย หลังเอาร่างขึ้นออนไลน์ให้ได้อ่านกันทั่งถึง พร้อมย้ำแล้วย้ำอีกว่า “เปลี่ยนแปลงได้” ทั้ง “กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ” เจ้าภาพ และ “สนช.” ผู้พิจารณา พยายามเชิญชวนนักการเมืองมาร่วมออกความเห็น ฟังดูเหมือนว่า “เริ่มเปิดใจรับฟังมากขึ้น”
⦁…กำหนดไว้ 18 ธ.ค.นี้ “คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ” เชิญ “ผู้แทนพรรคการเมือง” ขึ้นร่วมเสวนา “พ.ร.บ.พรรคการเมือง” และรับปากรับคำ จะนำข้อเสนอแนะไปพิจารณาปรับแก้ ความน่าสนใจอยู่ที่ “ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ” ที่ยัง “รวมศูนย์อำนาจไว้ที่คณะบุคคล” จะเสนอปรับแก้กฎหมายลูกอย่างไร ไม่ให้ขัดกับ “กฎหมายสูงสุด” เป็นการบ้านที่ไม่ง่ายเลยของ “นักการเมืองจากการเลือกตั้งของประชาชน”
⦁…ความเชื่อที่ว่า “กำหนดความเป็นไปของประเทศได้ด้วยเขียนกฎหมายขึ้นมาบังคับเอา” นั้น ไม่ว่าจะเอ่ยอ้าง “ประชาธิปไตย” สักแค่ไหน ย่อมเลี่ยงไม่พ้นที่จะถูกชี้ว่า “นำชาติอยู่อำนาจนิยม” ประเด็นสำคัญอยู่ที่ในความเป็นจริงแล้ว “กฎหมายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเครื่องมือในการบริหารปกครอง” เท่านั้น ความยินยอมพร้อมใจของคนในชาติแม้บางส่วนจะ “บังคับเอาได้” แต่ส่วนใหญ่ย่อมอยู่ที่ “การยอมรับ” ความยุ่งยากของการปกครองประเทศจะมีมากขึ้น
หาก “กฎหมายไม่เป็นที่ยอมรับ”
⦁…เมื่อท่าทีของ “พรรคเพื่อไทย” ผ่านคำสัมภาษณ์ของ ภูมิธรรม เวชยชัย ยืนกรานหนักแน่นว่า “จะไม่ส่งตัวแทนพรรคเข้าร่วมเสวนา” ด้วยเหตุผลทำนอง “ไม่เห็นประโยชน์เพราะเชื่อว่ามีธงอยู่แล้ว จัดเสวนาขึ้นแค่เป็นพิธีกรรมให้ดูดี” สะท้อนว่า “การไม่ประนีประนอมเป็นทิศทางที่ยากจะหลีกเลี่ยง” สำหรับการเมืองไทยนับจากนี้ เรื่องราวต่อไปจะเป็นอย่างไร จึงน่าติดตามยิ่ง
⦁…โรดแมปการเมืองอาจจะเป็นอย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าคือ “ขึ้นกับทุกฝ่าย” ดังนั้นด้วยสถานการณ์ที่เข้มขึ้น อาจจะทำให้มีเสียงเรียกร้องให้ “ยืดโรดแมปออกไป” ทว่าในอีกด้านหนึ่ง คล้ายกับว่าที่ความจำเป็นที่จะต้อง ทำให้เกิดภาพ “ประชาธิปไตย” โดยเร็ว ผลจะออกมาทางไหน “ช้าไปอีก” หรือ “เร็วขึ้น เสียงซุบซิบ” สร้าง “คำถาม” ประเมิน “คำตอบ” กันให้แซด
⦁…เอา “งบประมาณดูแลสุขภาพข้าราชการ” ซึ่งมูลค่าประมาณ “75,000 ล้านบาท” ไปให้ “บริษัทประกัน” บริหาร มีเสียงจาก “ผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการสาธารณสุข” ที่ให้เห็นว่า จะส่งผลให้ “การรักษาพยาบาลข้าราชการกระทบหนัก” เพราะ “บริษัทประกัน” เป็นองค์กรธุรกิจ ย่อม “หวังผลกำไร” เป็นที่ตั้ง หนึ่งในนั้นคือ คุณหมอมงคล ณ สงขลา ที่ออกมาชี้ให้เห็นว่า “นับแต่นี้การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการจะมีความยุ่งยากมากขึ้น”
⦁…ตัวอย่างที่ “คุณหมอมงคล” ยกขึ้นมาเทียบคือ “การคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ” ที่เก็บเงินมาทำงบประมาณจ้างบริษัทประกันบริหารปีละ “8,000 ล้านบาท” ผลก็คือจากสถิติการจ่ายของค่ารักษาพยาบาลตาม พ.ร.บ. นี้มีแค่ปีละ “4,000 ล้านบาท” วิธีการบริหารจัดการให้ได้ผลกำไรเหนาะๆ คือ “ทำให้เบิกยากเข้าไว้” โดยสร้างเงื่อนไขมากมาย ชนิดที่ “คนทั่วไป” ยากที่จะเข้าใจ และทำได้ครบถ้วน ผลคือ “มีสิทธิเบิกแค่ไม่ได้เบิกเพราะไม่รู้ หรือรู้แต่ทำไม่เป็น” หากเรื่องราว
“การดูแลสุขภาพข้าราชการ” ถูกบริหารจัดการด้วยวิธีนี้ ท่าจะ “ดูไม่จืด”
ชโลทร