‘เฉลิมชัย’ มุ่งปลดล็อกรายได้ ชีวิตมั่นคงด้วย 16 นโยบายพัฒนา มั่นใจทำได้ ทำจริง

‘เฉลิมชัย’ ภูมิใจผลงานกระทรวงเกษตรฯ ลุยต่อวางเป้า ‘ปลดล็อก’ รายได้คนไทย ด้วย ’16 นโยบาย’ ของพรรคประชาธิปัตย์ครอบคลุมทุกกลุ่มอาชีพทุกช่วงวัย ย้ำไม่ขายฝัน มั่นใจทุกสิ่งทำได้จริง

เมื่อวันที่ 7 เมษายน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดเผยว่า ตลอด 4 ปีที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สร้างการพัฒนาให้ภาคการเกษตรไทยได้อย่างชัดเจนตามเป้าหมาย ดังปรากฏเป็นผลงานอย่างเห็นได้ชัด ภายใต้ “5 ยุทธศาสตร์ 15 นโยบาย” ซึ่งก้าวต่อไปในการทำงานภายหลังการเลือกตั้ง ผมมีความมุ่นมั่นอย่างเต็มที่กับการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่านี่คือ “ประชาธิปัตย์ยุคใหม่” กล้าเปลี่ยนแปลง พร้อมทำงานด้วยไอเดีย ด้วยนโยบายการพัฒนา ภายใต้ความสามารถ ความจริงใจ จริงจัง มุ่งมั่น เพื่อนำไปสู่การสร้างความอยู่ดีกินดีให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน ด้วยการ “ปลดล็อก” รายได้คนไทย ภายใต้ “16 นโยบาย” ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ครอบคลุมการดูแลพัฒนาในทุกกลุ่มอาชีพ ทุกช่วงวัย

นายเฉลิมชัยกล่าวต่อไปว่า ทั้ง 16 นโยบาย พรรคประชาธิปัตย์ไม่เป็นการขายฝัน แต่เป็นทุกสิ่งที่ทำได้จริง แบบคำไหนคำนั้น โดยเฉพาะการสร้างรายได้เพิ่มให้กับประชาชน เป็นสิ่งที่เน้น และทำได้ อย่างในภาคเกษตรของประเทศไทยวันนี้ต้องพัฒนาต่อไป จากเดิมที่ทำไว้ดีแล้วให้ดียิ่งขึ้น มั่นคง และมั่งคั่ง อย่างยั่งยืน อย่างพี่น้องเกษตรกรชาวนาที่มีอยู่ประมาณ 4.8 ล้านครัวเรือน ต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ ภายใต้นโยบายชาวนารับ 30,000 บาท ต่อครัวเรือน ส่วนชาวประมงท้องถิ่นที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ 2,800 กว่าแห่ง คือกลุ่มประมงที่เป็นฐานรากของประเทศ ดังนั้น นโยบายที่พรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการภายใต้ความมั่งมั่นต้องการสร้างความเข้มแข็งฐานราก จะให้เงินอุดหนุนกลุ่มเกษตรกรประมง กลุ่มละ 100,000 บาทต่อปี

ADVERTISMENT

ในส่วนภาคการประมงนั้น นายเฉลิมชัยกล่าวว่า จะดำเนินการผลักดันการปลดล็อกประมงพาณิชย์ภายใต้ IUU ให้สำเร็จ เพราะวันนี้ชาวประมงได้ร้องเรียนว่ามีความเดือดร้อน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์และสภาผู้แทนราษฎรก็รับฟัง มีการยื่นในการแก้ไขกฎหมายที่เป็นธรรม แต่การปลดล็อกตรงนี้ต้องอยู่ภายใต้ IUU เพราะ เรายังต้องอยู่กับสากลอยู่กับนานาประเทศ แต่จะทำให้สำเร็จอย่างแน่นอน

“เกษตรแปลงใหญ่เป็นอีกนโยบายที่เรียกได้ว่าได้พลิกโฉมภาคเกษตรไทยที่จะต้องไปต่อ เกษตรแปลงใหญ่ในปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 10,000 แปลง มีเกษตรกรเข้าร่วม 5 แสนราย ในพื้นที่กว่า 8 ล้านไร่ เกิดการลดต้นทุน ร่วมกันใช้เทคโนโลยี ร่วมกันต่อยอดสร้างนวัตกรรมร่วมกันในนามกลุ่ม ซึ่งได้ผลสัมฤทธิ์ที่ดีเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ดีกว่าต่างคนต่างทำ ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์จึงพร้อมสนับสนุนด้วยการต่อยอด เช่น การสนับสนุนเงินเพื่อต่อยอดการทำกิจกรรม แปลงใหญ่ละ 3 ล้านบาท” นายเฉลิมชัยกล่าว

ADVERTISMENT

ขณะเดียวกัน นายเฉลิมชัยยังกล่าวถึงการทำงานของอาสาสมัครเกษตรประจำหมู่บ้าน ซึ่งเป็นผู้เสียสละเข้าร่วมทำงานอย่างยาวนาน โดยไม่มีผลตอบแทนว่า กระทรวงเกษตรฯได้มีอาสาสมัครเป็นผู้ช่วยดูข้อมูล ประสานงานลึกลงไปถึงระดับหมู่บ้าน ครัวเรือน ที่ทำการเกษตร เพราะเกษตรเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นฐานรากใหญ่ในการขับเคลื่อนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ อาสาสมัครเกษตรฯถือว่ามีบทบาทสำคัญ ที่ผ่านมานั้น ได้ผลักดันเรื่องค่าตอบแทนมาตลอด ซึ่งจะดำเนินการต่อไป เพื่อให้มีค่าตอบแทนที่ 1,000 บาทต่อเดือน

“ส่วนประกันรายได้ จ่ายเงินส่วนต่าง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ข้าว มัน ข้าวโพด เป็นนโยบายต่อเนื่องจากความสำเร็จของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งจะต้องดำเนินการต่อไปอย่างแน่นอน พร้อมกับการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ดังนั้นอีกนโยบายที่ประชาธิปัตย์เสนอคือการออกโฉนดที่ดิน 1 ล้านแปลง ภายใน 4 ปี ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาของพี่น้องที่ไม่มีที่ดินทำกิน อยู่ในที่รกร้างว่างเปล่า” นายเฉลิมชัยระบุ

เมื่อสอบถามถึงการนโยบายการพัฒนาในภาคส่วนอื่นๆ เช่น ผู้ประกอบการ SME ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร นายเฉลิมชัยกล่าวว่า SME ถือเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ซึ่งมีทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม บริการ และทุกภาคที่เกี่ยวข้อง โดย SME คิดเป็นกว่าร้อยละ 90 ของนิติบุคคลรวมกันทั้งประเทศ ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 3,200,000 ราย ก่อให้เกิดการจ้างงานถึง 12.6 ล้านคน จึงมีนโยบายการพัฒนาที่เรียกว่า 3 แต้มต่อ

โดย “แต้มต่อที่ 1” ถ้าประชาธิปัตย์เป็นแกนตั้งรัฐบาล SME จะมีแต้มต่อทางด้านการผลิต ซึ่งจะมีการจัดการในองค์ความรู้ทุกด้าน ทั้งการผลิต ตลาด การบริหารจัดการ ระบบบัญชี ระบบภาษี ทั้งหมดที่ SME ควรมีแต้มต่อ เพื่อแข่งกับธุรกิจขนาดใหญ่ต่อไปในอนาคตได้

ส่วน “แต้มต่อที่ 2” แต้มต่อทางด้านการตลาด ที่ควรได้รับโอกาส ได้สิทธิ์เดินหน้าสู่ตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศต่ เช่น การได้ออกงานจัดแสดงสินค้า

และ “แต้มต่อที่ 3” ตั้งกองทุน 300,000 ล้านบาท เพื่อให้ SME สามารถเข้าถึงแหล่งเงิน แหล่งทุน สำหรับนำมาขยายกิจการ ต่อลมหายใจ หรือนำมาเพิ่มทุนสำหรับเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้กับประเทศต่อไปได้

ขณะที่การเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก นายเฉลิมชัยชี้แจงว่า วันนี้เป็นการชัดเจนที่สุดว่า ความเข้มแข็งของประเทศ ต้องเกิดจากความเข้มแข็งของฐานราก และหัวใจของการที่จะทำให้ฐานรากของประเทศ ที่เป็นชุมชนกลุ่มต่างๆ ซึ่งเป็นองค์กรระดับฐานรากมีความเข้มแข็งได้ก็คือการสนับสนุนธนาคารหมู่บ้าน และชุมชน โดยตามนโยบายที่กำหนด จะสนับสนุนแห่งละ 2 ล้านบาททั่วประเทศ พร้อมกันนี้ยังมุ่งเป้าพัฒนาด้วยนโยบาย “อินเตอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด ทุกหมู่บ้าน ทุกห้องเรียน” ทำให้มีอินเตอร์เน็ตฟรี รวมกันในหมู่บ้าน/ชุมชน ประมาณ 6 แสนจุด สำหรับห้องเรียน ทั่วประเทศมีประมาณ 350,000 ห้อง โดยจะจัดให้มีอินเตอร์เน็ตฟรีประมาณ 400,000 จุด รวมอินเตอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด ทุกหมู่บ้าน/ชุมชน ทุกห้องเรียน

“อีกกลุ่มที่ต้องได้รับการดูแลอย่างแน่นอน คือ ผู้สูงอายุ และปัจจุบันประเทศไทยมีชมรมผู้สูงอายุที่จดทะเบียนอยู่ประมาณ 30,000 ชมรม และถ้าประชาธิปัตย์เป็นการตั้งรัฐบาลก็จะช่วยสนับสนุนให้ผู้สูงอายุสามารถทำกิจกรรมรวมกลุ่มในลักษณะนี้ต่อไป รวมทั้งการส่งเสริมอาชีพเพื่อสร้างเงิน สร้างรายได้ให้กับผู้สูงอายุ โดยมีนโยบายสนับสนุนชมรมผู้สูงอายุให้ได้รับ 30,000บาท ทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน” นายเฉลิมชัยกล่าว

ส่วนนโยบายการพัฒนาเด็กที่เป็นอนาคตของชาติ นายเฉลิมชัยกล่าวว่า จะดำเนินการตามนโยบาย ฟรี นมโรงเรียน 365 วัน ด้วยเป็นที่ชัดเจนที่สุดว่าเรื่องนี้เป็นการพัฒนาเด็ก พัฒนาบุคลากรที่ประเทศชาติต้องใช้ในวันข้างหน้า และที่สำคัญที่สุดก็คือการที่จะให้เกษตรกรที่เลี้ยงโคนมนั้น สามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์โคนมให้กับเด็กไทย หลังจากที่ได้ทำมาแล้ว 280 วัน พร้อมกันนี้ ยังมีนโยบาย “เรียนฟรีถึงปริญญาตรีสาขาที่โลกต้องการ” เพราะจากการสำรวจเบื้องต้น โดยกระทรวง อว.พบว่ามีสาขาที่ตลาดต้องการ มีอยู่อย่างน้อยจำนวน 1.8 แสนคน โดยประมาณ ใน 12 สาขาสำคัญ หากประชาธิปัตย์เป็นแกนตั้งรัฐบาล จะสนับสนุนให้เด็ก ให้เยาวชน ได้เรียนฟรีถึงปริญญาตรีในสาขาที่เป็นความต้องการของตลาด เพื่อให้เรียนจบแล้วมีงานทำ สนองตลาดนำการผลิตทางการศึกษาได้ทันที

เรื่องสุขภาพเป็นอีกนโยบายสำคัญที่ นายเฉลิมชัยบอกว่า สำคัญมาก จึงจะเน้นดำเนินนโยบายทั้งการ “ตรวจสุขภาพฟรี รักษาฟรี โดยใช้บัตรประชาชนใบเดียว” ถือเป็นการต่อยอดนโยบายเดิมของพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ทำมาตั้งแต่อดีต

“กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และกองทุนเลี้ยงชีพ ให้ซื้อบ้าน ซ่อมบ้านได้ เป็นอีกนโยบายการช่วยเหลือที่จะดำเนินการ เพื่อให้สมาชิก กบข.ถึง 1.2 ล้านคน รวมทั้งมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่มีสมาชิกอยู่ถึง 3 ล้านคน เมื่อรวม 2 กองทุน จะมีวงเงินอยู่ประมาณ 2.6 ล้านล้านบาท และมีสมาชิกรวมกันประมาณ 4 ล้าน 2 แสนคน สามารถนำเงินส่วนหนึ่งมาซื้อบ้านได้ หรือนำมาลดหนี้บ้าน เช่น นำมาเป็นเงินต้น เพื่อให้ยอดเงินต้นลดลง สามารถผ่อนบ้านได้ครบถ้วน และมีบ้านเป็นของตัวเองได้เร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยทั้งข้าราชการและผู้ที่ทำประกันสังคม รวมไปถึงผู้ใช้แรงงานด้วย ดังนั้น จึงเชื่อมั่นว่า ทั้ง 16 นโยบาย คือ นโยบายการพัฒนาที่ถูกต้อง ถูกจุด เพื่อนำไปสู่การปลดล็อครายได้ สร้างการอยู่ดีกินดีให้กับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ และพร้อมจะดำเนินการได้ทันที” นายเฉลิมชัยกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image