เหมือนกับกรณี “ดีเบตอนาคตประเทศไทย” อันจัดขึ้นที่เมืองพัทยาจะดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติของการดีเบต ที่ย่อมจะต้องมีเขี้ยวมีคมบังเกิดขึ้นตลอดสองรายทาง
กระนั้น หากจับแต่ละ “กระบวนการ” อย่างเป็นการเจาะเฉพาะก็ต้องยอมรับในเงื่อนแง่งบางอย่าง
นี่เป็นเวที “พบแม่ทัพพรรคการเมืองกับนโยบายที่กินได้”
จึงไม่แปลกที่พรรคเพื่อไทยจะส่ง นายสนธยา คุณปลื้ม พรรครวมไทยสร้างชาติจะส่ง นายสุชาติ ชมกลิ่น พรรคพลังประชารัฐจะส่ง นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์จะส่ง นายสาธิต ปิตุเตชะ ซึ่งล้วนเป็น “มือวาง” ระดับแม่ทัพ
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ในเบื้องต้นพรรคก้าวไกลกำหนดชื่อ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร แต่แล้วในช่วงโค้งสุดท้ายก็กลายเป็นชื่อของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
อาจมิได้เป็นเรื่องแปลก เพราะในเวที “ปรับเปลี่ยนหรือไปต่อ” ที่ขอนแก่นก็เป็น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ การพบแม่ทัพภาคตะวันออก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ยิ่งเหมาะสมมากกว่า
เมื่อเกิดการประกับ นายสุชาติ ชมกลิ่น เสียง “อ๋อ” ก็ดังขึ้น
มีคนจำนวนไม่น้อย เกิดนัยประหวัดไปยังมีเวทีดีเบตก่อนการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2562 เพียงแต่เมื่อ 4 ปีก่อนเป็นการจัดโดย เดอะ สแตนด์ดาร์ด ขณะที่ในปี 2566 เป็น เดอะ เนชั่น
ถามว่าอะไรและตรงไหนคือจุดแห่งความร้อนแรงบนเวทีแห่งการดีเบต ณ เมืองพัทยา
คำตอบแรกอยู่ที่การออกมาโต้แย้ง 1 ปมว่าด้วยโบนัสของโตโยต้า อีซูซุ 1 ปมว่าด้วยตัวเลขการว่างงานร้อยละ 0.75-1.5 ที่มีการเคลมเป็นผลงาน
มองจากสถานะแห่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นี่ย่อมเป็นการเปิดโปงที่รุนแรงและร้ายกาจ แต่อีกฝ่ายเลือกที่จะขยายปมว่าด้วย “นักการเมืองกลุ่มหนึ่ง” มากกว่า
นายสุชาติ ชมกลิ่น อาจประเมินว่าเป็นอาวุธหนักที่จะพิฆาต แต่การณ์กลับกลายเป็นการเปิด “คาง” ให้ถูกซัดเข้าอย่างหนัก
การต่อสู้กันอย่างที่เห็นบนเวที “แม่ทัพภาคตะวันออก” ณ เมืองพัทยา ที่สำคัญมิได้เป็นเรื่องของโวหาร มิได้เป็นเรื่องของข้อมูล หากแต่อยู่ที่ “ท่วงท่าอาการ”
เป็นท่วงท่าอันสะท้อนถึง “วุฒิภาวะ” และในเรื่องของ “อี-คิว”
ยิ่งการณ์กลับบานปลายกลายเป็นการปรากฏขึ้นของกองกำลังส่วนหนึ่งที่เดินทางไปข่มขู่และคุกคาม นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถึงที่พักตามมา ยิ่งเป็นเรื่องหวาดเสียว
หวาดเสียวต่อภาพลักษณ์และเกียรติภูมิทางการเมืองของ นายสุชาติ ชมกลิ่น
เมื่อเทียบกับความสุขุมจาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
