คำสั่ง “ล่าสุด” อันมาจาก “คสช.” อันมาจาก”รัฐบาล” ทำให้แนวใน การจัดการกับ”ธรรมกาย” เปลี่ยนไป
นั่นก็คือ คำสั่ง “ปิดปาก”
1 ปิดปากดีเอสไอ ซึ่งหมายถึง พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง 1 ปิดปากตำรวจ ซึ่งหมายถึง พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล
เพราะ 2 คนนี้คือ “หัวขบวน”
สังคมอาจไม่ได้ยิน “แถลง”จากปากของ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ
แต่เสียงของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล นั้นชัด
“ได้รับคำสั่งโดยตรงจากผบ.ตร.สั่งงดให้สัมภาษณ์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายในทุกกรณีเป็นการชั่วคราว”
จึงไม่เพียงแต่ DCM TV เท่านั้นที่ “จอดำ”
หาก พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง หาก พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิ พราหมณกุล ก็ “จอดำ”
“ความหมาย” จะ”หมายความ”อย่างไร
ความหมายในเชิง “รูปธรรม” จะเห็นบทบาทที่ลดลงของ”ส่วน กลาง” อันหมายถึงดีเอสไอและตำรวจ
แต่จะเน้นไปยัง “พื้นที่”
นั่นก็เห็นได้จากการส่งกำลังของตำรวจจาก สภ.คลองหลวง และ ตำรวจทางหลวง ไปร่วมกันตั้งด่าน
บริเวณรอบวัดรวมแล้วถึง 7 ด่าน
นั่นก็เห็นได้จากการเคลื่อนไหวของรองผู้ว่าราชการจังหวัด ของที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัด ของที่ดินจังหวัด ของอุตสาหกรรมจังหวัด
เล่นงาน “ธรรมกาย” ในทาง”กฎหมาย”
บทบาทของ “ดีเอสไอ”ลดระดับลง บทบาทของ”ตำรวจ”จากส่วนกลางลดระดับลง
เป็นการ”หดเป้า” แต่ยังต้องการ”จับตัว”
ยุทธวิธีที่เปลี่ยนไปในกรณีของ”วัดพระธรรมกาย”สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะยืดได้ หดได้
แน่นอน ยุทธวีธีนี้กำหนดจาก”เบื้องบน”
เป็นเบื้องบนอันหมายถึงในที่ประชุม “ร่วม” ระหว่างคสช.กับรัฐบาล
สั่งการไปยัง 1 กระทรวงยุติธรรม
สั่งการไปยัง 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เป็นกระบวนการอันสะท้อนลักษณะ”ยืดหยุ่น พลิกแพลง” ขณะเดียวกัน ก็ดำรงจุดมุ่งหมายเดิมอย่างแน่วแน่ คงมั่น
ยังคงต้องการตัว พระเทพญาณมหามุนี
ยังเดินหน้าในเรื่อง “คดีความ” ยังไม่แปรเปลี่ยนสิ่งที่เริ่มต้นมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน
เพียงแต่จำเป็นต้องเปลี่ยน “ตัวละคร” ใหม่
ให้บุคลากรระดับ”จังหวัด”ออกโรง มิใช่”ส่วนกลาง”
