ผู้เขียน | สีดา สอนศรี |
---|
ความเหมือน และ ความต่าง ของ พรรคการเมือง และ การเลือกตั้ง ของ ฟิลิปปินส์ และไทย
พรรคการเมืองและการเลือกตั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความเหมือนและความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าหากคณะกรรมการการเลือกตั้งไม่เข้มแข็งและปัจจัยทางการเมืองเปลี่ยนแปลงไป ประเด็นสำคัญที่เอื้อต่อพรรคการเมืองและการเลือกตั้ง คือพรรคต้องมีการจัดโครงสร้างของพรรคการเมือง มีเครือข่ายของพรรคการเมืองซึ่งเป็นการกระจายอำนาจทางนโยบายของพรรค มีการเสนอและคัดเลือกผู้ที่วางหลักการและจุดมุ่งหมายของพรรค นั่นก็คือผู้ที่จะถูกคัดเลือกจากพรรคให้สมัครรับเลือกตั้ง ประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีพร้อมกับผู้จัดการเลือกตั้ง (Campaign Manager) ที่มีความสามารถที่จะดึงดูดใจประชาชนมากพอที่จะได้รับความนิยมจากประชาชนให้ได้รับการสนับสนุนในการเลือกตั้ง ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงระบบพรรคการเมืองแบบปิดในหลายประเทศที่เป็นพรรคเดี่ยวพรรคเดียวในภูมิภาคนี้ แต่จะกล่าวถึง บทบาทของคณะกรรมการเลือกตั้งที่ควบคุมการเลือกตั้ง นโยบายของพรรค พรรคสรรหาผู้สมควรเป็นประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรี การสร้างเครือข่ายพรรค การรณรงค์หาเสียงของพรรคการเมือง การปราศรัยใหญ่ของพรรค
บทบาทของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
คณะกรรมการการเลือกตั้งของแต่ละประเทศ มีความสำคัญมากต่อการเลือกตั้ง ที่จะต้องให้พรรคการเมืองทำตามกฎระเบียบของการเลือกตั้ง ถ้าจะเปรียบเทียบทั้งฟิลิปปินส์และไทยแล้ว คณะกรรมการการเลือกตั้งของฟิลิปปินส์ หรือ Comelec (Commission on Elections) จัดตั้งมาก่อนไทย คือจัดตั้ง ตั้งแต่สหรัฐอเมริกา ครอบครองฟิลิปปินส์ คือปี 1941 (2484) สำหรับประเทศไทยเองนั้นได้เรียนรู้จากฟิลิปปินส์และนำมาใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2540 และได้นำบางส่วนมาใช้
เช่น จัดตั้งเป็นองค์กรอิสระเป็น กกต. (คณะกรรมการการเลือกตั้ง) กำหนดนโยบายการหาเสียง กำหนดให้มีเครือข่ายของ กกต.ในทุกจังหวัด กำหนดขนาดของป้ายหาเสียงและให้มีตรา (สัญลักษณ์) ของ กกต. เป็นต้น ส่วนของฟิลิปปินส์นั้นเขาก็ได้เรียนรู้ปัญหาของการเลือกมาในแต่ละครั้งและนำมาแก้ไขในครั้งต่อไป คอมิเลคของฟิลิปปินส์ มีบทบาทมากตั้งแต่การจดทะเบียนของพรรคการเมืองและลงทะเบียนผู้สมัครในตำแหน่งต่างๆ ทุกตำแหน่ง กำหนดขนาดของป้ายหาเสียง แผ่นปลิว และตัวอย่างของการกรอกชื่อผู้สมัคร กำหนดเขตการติดโปสเตอร์ที่ไม่ให้ติดตามสถานที่ศึกษา และตามโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น สถานีรถไฟฟ้า เสาไฟฟ้า และสถานที่มีวัสดุการสื่อสารคมนาคม เป็นต้น
ห้ามตอกตะปูติดป้ายตามต้นไม้เพราะเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม ห้ามสัญญาว่าจะให้เงินในโปสเตอร์ ป้ายและแผ่นปลิว ใส่ได้เฉพาะประสบการณ์ของผู้สมัครและคำขวัญของพรรค เช่น Uni-Team ของ Marcos Jr., 1Sambayan (1 Party) ของ Leni เท่านั้น ส่วนนโยบายของและพรรค ผู้สมัคร ประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี และวุฒิสมาชิก ต้องจดทะเบียนพรรคการเมือง พร้อมระบุชื่อพรรคการเมืองและนโยบายของพรรค และนโยบายนี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากคอมิเลคที่ต้องเป็นนโยบายที่เป็นรูปธรรมและเป็นกลางที่จะช่วยพัฒนาประเทศได้ และคอมิเลคจะลงนโยบายของพรรคที่ได้รับการรับรองให้ในหนังสือพิมพ์อาทิตย์ละ 2 พรรค
ดังนั้น ประชาชนจะทราบนโยบายของพรรคทุกวัน ตั้งแต่ได้กำหนดให้รณรงค์หาเสียงเลือกตั้งได้ ถ้ากลับมาดูในไทยบ้าง สมัยก่อนๆ ก็มีการกำหนดขนาด และไม่ได้ชักชวนให้ผู้สมัครมาลงคะแนนเสียงโดยใช้เงินหลอกล่อเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดอย่างในปัจจุบัน มีอะไรเกิดขึ้นใน กกต.มีการห้ามข้อนี้เหมือนเมื่อก่อนหรือไม่ หรือตามกระแสการเมือง หลังวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ประชาชนยากจนลงต้องชักชวนให้ประชาชนให้มาเลือกตั้ง ถ้าเป็นเช่นนี้ประชาชนต้องฉลาดที่จะรู้ว่าเป็นไปได้หรือไม่ อย่าตื่นตาตื่นใจกับเงินที่สัญญาว่าจะให้ และวิเคราะห์ดูว่ารัฐบาลจะเอาเงินที่ไหนมาให้คนตั้ง 65 ล้านคน และในการปราศรัยใหญ่น่าจะแถลงนโยบายกว้างๆ ที่เป็นรูปธรรมและอาจเป็นไปได้ว่าจะแก้ปัญหาอะไรให้กับประชาชน ไม่ใช่สัญญาว่าจะให้เงิน
ยกตัวอย่างเช่น จบปริญญาตรี ได้ 25,000 บาท บัตรประชารัฐเพิ่มเงิน 700 บาทสำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หยุดต้นปลอดดอกเบี้ยคนละไม่เกิน 1 ล้านบาท ยกระดับ 30 บาท บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทั่วไทย (ปัจจุบันก็มีอยู่แล้วสำหรับบัตรทอง) เช่นเดียวกับป้ายหาเสียง เป็นต้น
สำหรับฟิลิปปินส์ ประชาชนให้ความสำคัญกับนโยบายของประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ส่วนสมาชิกสภาสูงและสภาล่างหรือสภาผู้แทน และระดับต่างๆ ทั่วประเทศ ก็จะสังกัดพรรคที่มีนโยบายที่เป็นรูปธรรม ซึ่งพรรคและเครือข่ายพรรคของ Marcos Jr. และ Leni ได้ไปประชาพิจารณ์นโยบายอย่างไม่เป็นทางการก่อนที่ คอมิเลคจะกำหนดอย่างเป็นทางการ ไม่มีเรื่องจะให้เงินมาเป็นหลักสำคัญ
ระบบอุปถัมภ์กับการเลือกตั้ง
ระบบอุปถัมภ์มีทั่วประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงทั่งในระบบเปิดและระบบปิด สำหรับฟิลิปปินส์แล้ว เป็นครอบครัวขยาย มีพ่อทูนหัวแม่ทูนหัว จึงมีระบบอุปถัมภ์ที่กว้างขวางมากและมากกว่าประเทศไทย เนื่องจากศาสนามีค่านิยมให้ครอบครัวช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณทั้งที่เป็นญาติและเพื่อนฝูง ผู้สมัครบางกลุ่มมักจะเลือกผู้สมัครที่เป็นกลุ่มสกุลและกลุ่มญาติเดียวกัน แต่ไม่เสมอไป เนื่องจากประสบการณ์ที่ไม่ดีกับอดีตผู้นำที่ทำให้ประเทศล้มละลาย เช่น Ferdinand Marcos เคยทำให้ประเทศล้มละลายมาแล้วทำให้เครือญาติบางกลุ่มกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเมื่อ Marcos Jr. ผู้สมัครตำแหน่งประธานาธิบดีตระหนักเรื่องนี้ดี จึงได้ชักชวนให้ Sara Duterte มาสมัครเป็นรองประธานาธิบดีซึ่งครอบครัวเป็นเพื่อนกับ Marcos มาแต่เดิม เพื่อให้ได้เสียงจากทางใต้ และเขาก็ชนะอย่างเฉียดฉิว
สำหรับฟิลิปปินส์แล้ว เดิมเป็นระบบ 2 พรรคการเมืองแบบอเมริกัน มาในสมัยประธานาธิบดีคอราซอน อากีโน ได้เปลี่ยนเป็นเครือข่ายพรรคร่วมหลายพรรค เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้น การได้เป็นรัฐบาลขึ้นอยู่กับการได้คะแนนเสียงของตำแหน่งประธานาธิบดี ตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีอาจมาจากคนละพรรคก็ได้ แต่ทำงานร่วมกันได้ มาครั้งนี้ประธานาธิบดีและรองประธานาธิดี มาจากพรรคร่วมเดียวกัน เพราะเขาหาเสียงเป็นทีมเดียวกัน คือ Uni-Team ของพรรคร่วมของ Marcos Jr. คือ Partido Federal ng Pilipinas ชึ่งมีเครือข่ายพรรคของ Ferdinand Marcos-Kilusang Bagong Lipunan, พรรค ของ Sara Duterte-Lakas-CMD ชึ่งสมัครตำแหน่งรองประธานาธิบดี และพรรค PDP-Laban ของ Rodrigo Duterte ชึ่งทั้งสามพรรคการเมืองนี้มีเครือข่ายที่กว้างขวางมากทั้งทางเหนือ ใจกลางกรุงมนิลาและทางใต้ อีกทั้งมีเครือข่ายพรรคการเมืองท้องถิ่นอีกมากมายที่สนับสนุน
Uni-Team พรรคนี้มีนโยบายสนับสนุนการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ส่งเสริมให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้น ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน มีนโยบายต่างประเทศที่ยืดหยุ่นและปกป้องสวัสดิการของชาวฟิลิปปินส์ที่ทำงานในต่างประเทศไม่ว่าอาชีพใดก็ตาม พรรคดังกล่าวข้างต้นมีความจงรักภักดีต่อประธานาธิบดี มีความกตัญญูและจงรักภักดีต่อผู้มีพระคุณในเครือข่าย ส่วน Leni นั้น มาจากพรรค Liberal และพรรคตั้งพรรคใหม่ในเครือข่ายคือ พรรค 1Sambayan (พรรคเดียวกัน) ชึ่งเป็นเครือข่ายขององค์กรพัฒนาเอกชนทั่วประเทศ ตั้งแต่ท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ เป็นพรรคก้าวหน้า แนวคิดกลางช้าย มีนโยบายคือ รักษาอธิปไตยของชาติ ปกป้องสิทธิมนุษยชน ต่อต้านคอร์รัปชั่น มีนโยบายต่างประเทศที่ส่งเสริมการลงทุนต่างประเทศแต่ไม่ให้เสียอธิปไตยของชาติ รักษาความมั่นคงของประเทศ และปกป้องชาวฟิลิปปินส์ที่ทำงานในต่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีจะมาจากเสียงข้างน้อยหรือข้างมากก็ได้ ชึ่งเป็นระบบที่ต่างกับประเทศไทย นโยบายของประธานาธิบดีและพรรคร่วมต้องเสนอต่อ Comelec ตอนจดทะเบียนพรรคการเมือง ประชาชนทั้งประเทศจึงทราบนโยบายก่อนการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
มีข้อคิดสำหรับประเทศไทยก็คือ กกต.ไม่ควรให้ผู้สมัครหาเสียงด้วยการเอาเงินมาชักชวน ควรกำหนดสถานที่การติดป้ายหาเสียงและขนาดของป้ายหาเสียง ควรให้พรรคการเมืองกำหนดนโยบายอย่างป็นรูปธรรมว่าจะช่วยประเทศชาติอย่างไรแต่ไม่ใช่มาแจกเงิน และนโยบายต่างประเทศควรเป็นสิ่งสำคัญของพรรค ความเข้มแข็งของ กกต.จึงมีความสำคัญยิ่งนอกเหนือจากนโยบายของพรรค อย่างไรก็ตาม การซื้อเสียง ขายเสียงก็ยังอยู่กับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยกเว้นแต่จะทำอย่างไรให้ลดน้อยลงเท่านั้น