‘พิธา’ สุดปลื้ม โพลรอบ 2 มติชนxเดลินิวส์ ยังมาที่ 1 นายกฯ รับมีกำลังใจ ทำงานหนัก

“พิธา” ปลื้มโพลรอบ 2 เดลินิวส์-มติชน โหวตเป็นนายกฯ-หนุนก้าวไกลท่วมท้น ตอกย้ำทำงานหนัก 300 นโยบายพร้อมเข้าสู่ทำเนียบ ยันจุดยืนมีลุงไม่มีเรา เชื่อไม่มีปัญหาร่วมงานกับเพื่อไทย มั่นใจฝ่าย ปชต.รวมเสียง 280-300 เสียง ลั่นหากกัปตันชื่อ “พิธา” ประเทศจะสมดุล ไม่เป็นคนหัวโตตัวลีบ เผยโค้งสุดท้ายงดกิจกรรมห้องแอร์ลุยลงพื้นที่ 

เมื่อวันที่ 29 เมษายน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงผลโพลเดลินิวส์-มติชน รอบ 2 ซึ่งได้รับเสียงโหวตสนับสนุนเป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด รวมทั้งผลโหวตยังระบุว่าประชาชนจะเลือก ส.ส.เขต และส.ส.บัญชีรายชื่อจาก พรรคก้าวไกลมากที่สุด แซงพรรคเพื่อไทยว่า ต้องขอบพระคุณพี่น้องประชาชน และผู้อ่าน ผู้ชมของทั้งเดลินิวส์และมติชนที่ให้ความไว้วางใจตน และพรรคก้าวไกลในการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ โดยจะเอากำลังใจครั้งนี้ ในการลงพื้นที่ให้หนักขึ้น แล้วก็สร้างความมั่นใจให้กับทีมงานของพรรคก้าวไกล ก็ขอยกความดีความชอบให้กับคนที่เป็นคนทำงานของพรรค ไม่ว่าจะเป็นผู้สมัคร ส.ส. ทีมจังหวัด หรือแม้แต่อาสาสมัครด้วย

เมื่อถามว่า เหตุผลที่ทำให้พรรคก้าวไกลและนายพิธามีความโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงโค้งสุดท้ายเกิดจากอะไร นายพิธากล่าวว่า คิดว่าเป็นการทำงานหนักของทุกคนที่มีส่วนร่วมของพรรค ไม่ใช่แค่แกนนำหรือคนใดคนหนึ่ง แต่ว่าในขณะเดียวกันก็คงจะเป็นเรื่องของความตั้งใจในการที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศจริงๆ การมีความพร้อมในเรื่องของโรดแมป 300 นโยบายที่จะตอบโจทย์ทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับจังหวัด แล้วก็เป็นแผนความพร้อมในการเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาล ว่าใน 100 วันแรก มีอะไรที่ไม่ต้องใช้งบประมาณหรือไม่ต้องเขียนกฎหมายใหม่ และทำให้ประชาชนสามารถจับต้องและเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดิน เรื่องเกี่ยวกับการขึ้นค่าแรงแรงงาน การช่วยพี่น้องเอสเอ็มอี ก็น่าจะพอสร้างความเชื่อใจและความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชนทั่วไป และคนที่เป็นผู้อ่านของทั้งเดลินิวส์และมติชนด้วย

ต่อข้อถามว่า ยังมีจุดเดิมว่า มีลุงต้องไม่มีเราหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า เหมือนเดิม อันนั้นคือเป็นเหตุผลที่เราตั้งพรรคขึ้นมา เราต้องการที่จะทำให้ประเทศไทยไปต่อได้ การที่เราจะทำให้การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต สิ่งที่เราตกผลึกคิดมานานว่า การเมืองจะดีได้ก็ต้องยุติวงจรรัฐประหาร การที่เราจะเข้าสู่อำนาจโดยที่ไปผสมพันธุ์กับคนที่เป็นส่วนเริ่มต้นในการทำรัฐประหาร มันก็คงเป็นไปไม่ได้ มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง

Advertisement

เมื่อถามว่า ในเรื่องการจับมือกับพรรคเพื่อไทยในอนาคตจะมีปัญหาอะไรหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า “ผมคิดว่าไม่มี เพราะอย่างที่บอกว่า ในระบบรัฐสภาที่เป็นรัฐบาลผสมในระบอบประชาธิปไตยแบบประเทศไทย เวลาเลือกตั้งก็ต้องมีทั้งการแข่งขัน และการร่วมมือกัน ในขณะเดียวกันในมิติของการแข่งขันยิ่งมีนโยบายมาแข่งขันกันเยอะๆ ยิ่งมีผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ มาประชันวิสัยทัศน์และวิธีการทำงานเยอะๆ ผมว่ามันทำให้การเมืองคึกคัก พอการเมืองคึกคักก็จะยิ่งมีคนมาใช้สิทธิใช้เสียงกันเยอะๆ

“ถ้าคราวนี้มีคนมาใช้สิทธิเลือกตั้งกัน 80 เปอร์เซ็นต์ ถล่มทลาย จากปี 2562 ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 71-72 เปอร์เซ็นต์ คราวนี้ถ้าเกิดคนออกมาใช้สิทธิใช้เสียงกันเยอะๆ ผมว่าจะเป็นผลดีกับทุกพรรค ไม่ใช่แค่พรรคก้าวไกลหรือพรรคเพื่อไทย พอเลือกตั้งเสร็จ 14 พฤษภาคม น้ำหนักทางการเมืองออกมา ประชาชนได้ให้คำตอบกับเรามาแล้วว่าอยากจะให้พรรคไหนเป็นพรรคที่บริหารประเทศ ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับพรรคฝ่ายค้านทุกพรรค ไม่ใช่แค่พรรคเพื่อไทยอย่างเดียว รวมถึงบางพรรคที่เป็นพรรคใหม่แต่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตยมานาน แล้วก็ยังไม่ได้เข้าสภา อย่างพรรคไทยสร้างไทยด้วย”

เมื่อถามว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยยังสามารถจับมือกันได้หรือไม่ นายพิธากล่าวว่า คิดว่าเรายังไม่จำเป็นต้องคิดไปถึงขั้นนั้น ถ้าเราดูจากการตอบรับของพี่น้องประชาชน หรือดูตัวเลขจากโพลต่างๆ คิดว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านในปัจจุบัน รวมถึงพรรคใหม่ๆ ที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตย คิดว่าเราสามารถจะจับขั้วกันเกิน 250 ค่อนข้างที่จะแน่นอน ในเรื่องของสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตาม 14 วันสุดท้ายอะไรก็เกิดขึ้นได้ และเราก็จะไม่ประมาท เราจะทำงานอย่างหนักมากขึ้น จะหนักแน่น ไม่วอกแวก และมีสมาธิต่อการทำงานในช่วงโค้งสุดท้าย เพื่อให้เราสามารถมีเสียงฝ่ายประชาธิปไตยรวมกันเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก ซึ่งตนคิดว่าน่าจะได้ถึง 280-300 เสียงด้วยซ้ำ ซึ่งจะพ้นเสียงปริ่มน้ำไม่เหมือนปี 2562 แล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ตนคิดว่า วุฒิสภาที่อยู่มาปีนี้เป็นปีสุดท้ายก็คงจะเคารพมติของประชาชนเสียงข้างมาก

Advertisement

เมื่อถามถึงเสียงของกลุ่มคนที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคไหน นายพิธากล่าวว่า สำหรับคนที่อาจจะยังไม่ได้ตัดสินใจ ตนเชื่อว่าหลักในการตัดสินใจ ถ้าเป็นตนก็คงจะขึ้นอยู่กับวิธีการตั้งคำถามว่า เลือกตั้งครั้งนี้ทำไปเพื่ออะไร ถ้าท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ทำไปเพื่อแค่อยากจะเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี แต่ยังอยู่ในโครงสร้างแบบเดิมๆ รัฐราชการแบบเดิมๆ การบริหารเศรษฐกิจแบบเดิมๆ ท่านก็คงจะโหวตอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าท่านคิดว่าที่ผ่านมาเป็นทศวรรษที่สูญหายและการเลือกตั้งครั้งนี้คำถามคือการรื้อโครงสร้างมากกว่าแค่เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี หรือแค่เปลี่ยนข้างเปลี่ยนขั้วที่ความจริงแล้วก็ย้ายกันไปย้ายกันมาตลอดเวลา ก็จะเลือกตั้งอีกอย่างหนึ่ง

“สำหรับพรรคก้าวไกลเราคิดว่าทางรอดของประเทศไทยไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือการรื้อโครงสร้างของประเทศทั้งหมด ทั้งในเรื่องของระบบเศรษฐกิจที่กระจุกตัว ทั้งในเรื่องการบริหารระบบราชการที่มีมานานกว่า 130 ปี ทำให้เกิดการเลือกตั้งทุกจังหวัดในประเทศไทย การใช้ภาษีแก้ไขปัญหาในพื้นที่ รวมถึงการทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยยาวๆ ไม่ต้องมีการรัฐประหารเฉลี่ยทุกๆ 7-8 ปีอย่างที่เป็นมาในอดีต ดังนั้นเส้นตัดของการตัดสินใจของผมอยู่ตรงนี้ ที่เหลือก็เป็นการใช้ดุลยพินิจของพี่น้องประชาชน”

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เป็นนักบินมีประสบการณ์มากกว่านักบินผู้ช่วย หากหลังวันที่ 14 พฤษภาคม ผลปรากฏว่า ได้กัปตันชื่อพิธา เราจะพาประเทศไปทางไหนแล้วเราจะได้อะไรที่ดีกว่าเดิมจากที่ผ่านมา นายพิธากล่าวว่า คิดว่าประสบการณ์ก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างในการบริหารประเทศต่อไปนี้  ต่อไปนี้มันจะมีประสบการณ์ที่ถูกและประสบการณ์ที่ไม่ถูก และสิ่งที่เราเผชิญไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับสภาวะโลกร้อน ปัญหาเกี่ยวกับดิสรัปชั่น ไม่ว่าจะเป็นการแย่งงานจากเทคโนโลยีต่างๆ ตนไม่แน่ใจว่า คนที่จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ มันจะต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์แบบเก่าๆ หรือไม่ หรือเป็นคนที่เข้าใจและท้าทายโอกาสของประเทศใหม่ๆ ที่คนเก่าๆ อาจจะยังไม่เข้าใจตรงนี้ และได้พิสูจน์มาแล้วถึงแม้จะบอกว่ามีประสบการณ์ในการกู้การบริหารประเทศมา 28 ล้านล้านที่ใส่งบประมาณลงไป แต่คนจนเพิ่มมากขึ้นอันนี้ก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์แล้วเช่นกัน

นายพิธากล่าวว่า ส่วนคำถามที่ว่า ถ้าหากได้นายกฯชื่อพิธา จะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ตนอยากให้ลองคิดตามว่า ประเทศไทยเป็นคนคนหนึ่ง ประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมาเป็นคนที่หัวโตตัวลีบ เศรษฐกิจโตกระจุกตัวอยู่กับกลุ่มคน 1 เปอร์เซ็นต์ การบริหารราชการ งบประมาณ เศรษฐกิจอยู่ใน กทม. อย่างเดียว กทม.คือประเทศไทยประเทศไทยคือ กทม. ถ้าโควิดมาล็อก กทม. ครั้งหนึ่งเศรษฐกิจหายไป 45% ถ้านายกฯ ชื่อพิธาเมื่อไร ประเทศไทยจะเป็นคนที่ร่างกายสมดุล หัวไม่โตจนเกินไป แต่ทั้งแขนทั้งขาทุกส่วนของร่างกายมีการเจริญเติบโตแข็งแรงมากขึ้น จะผ่านกฎหมายให้เห็นชัดๆ อย่างเช่น กฎหมายสุราก้าวหน้าที่เป็นการทลายทุนผูกขาด ซึ่งจะทำให้แขนขาของเกษตรกรสมดุลมากยิ่งขึ้น รวมถึงการกระจายอำนาจ ที่ไม่ใช่เป็นการส่งหรือแต่งตั้งผู้ว่าฯ จากส่วนกลาง ความเท่าเทียมกับความใกล้เคียงในเรื่องเศรษฐกิจ สาธารณสุข การศึกษาระหว่าง กทม.และต่างจังหวัดก็จะเท่าเทียมกันมากขึ้น เป็นต้น

เมื่อถามว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายมีแผนลงพื้นที่อย่างไรต่อไป นายพิธากล่าวว่า สิ่งที่ทำให้ตนมั่นใจมากกว่าโพลทุกโพลก็การลงพื้นที่แล้วก็ได้รับการตอบรับจากพี่น้องประชาชน การที่เขามาถามเรื่องนโยบายต่างๆ ของพรรค รวมทั้งประสบการณ์สามย่านเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และเมื่อวานตนอยู่ที่ จ.ภูเก็ต ก็ได้เกิดปรากฏการณ์ภูเก็ต ความตั้งใจของเราก็สั้นๆ ง่ายๆ ว่า จะต้องมีปรากฏการณ์สามย่าน เกิดขึ้นที่สี่มุมเมืองทั่วประเทศไทย ดังนั้นในวันที่ 30 เมษายน ตนก็จะอยู่ที่เชียงใหม่ภาคเหนือ และจะลงพื้นที่เป็นดาวกระจายให้มากขึ้น คลุกคลีกับพี่น้องประชาชนมากกว่าอยู่ในห้องแอร์ หรือตามห้องส่งตามเวทีดีเบตอาจจะน้อยลง แต่เน้นเรื่องของการลงพื้นที่ให้มากขึ้น

นายพิธายังกล่าวด้วยว่า ส่วนเรื่องที่เจอนักร้องยื่นต่อ กกต. ก็ไม่ได้มีความหวั่นไหวใดๆ เป็นสิ่งที่ได้คาดไว้แล้ว มั่นใจว่า ชี้แจงได้ทุกเรื่อง และต้องไม่ไปทำให้เป็นไปตามเกมของเขา จนพวกเราเสียสมาธิในการทำงานโค้งสุดท้าย ยืนยันชี้แจงได้ทุกเรื่อง ไม่หวั่นไหว ไม่เสียสมาธิ และไม่หลงกลในเกม ตนพูดกับพี่น้องเพื่อนๆ ในก้าวไกลว่าแพ้เป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร ดังนั้น ในช่วงโค้งสุดท้ายเราสะสมชัยชนะกันมามากขนาดนี้แล้วเหลือเวลาอีกแค่ 2 อาทิตย์ก็ต้องเอาให้ถึงเส้นชัยให้ได้ ไม่ต้องกังวลหรือสูญเสียความมั่นใจในแคนดิเดตนายกฯของพรรคแต่อย่างใด รวมถึงขอฝากไปยังพี่น้องประชาชนด้วย

ย้อนอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image