สุวัจน์ กางพิชัยสงครามแก้เศรษฐกิจ หญิงหน่อย ประดาบสู้ความจนเพื่อ ‘คนตัวเล็ก’

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 2 พฤษภาคม ที่รอยัล พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ มติชนxเดลินิวส์ ร่วมจัดดีเบตเป็นครั้งแรกในเวที “สงคราม 9 พรรค THE LAST WAR”

ในตอนหนึ่งบนเวที “แม่ทัพ วิสัยทัศน์และสัญญาประชาคม” โดยแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แคนดิเดตนายกฯพรรคชาติพัฒนากล้า และประธานพรรคชาติพัฒนากล้าระบุว่า มีทั้งหมดสี่เรื่องที่จะพูดถึงนโยบายถ้าหากได้เป็นนายกรัฐมนตรี เรื่องแรกคือเรื่องของเศรษฐกิจ วันนี้เกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง ถ้าหากมองย้อนกลับไปในยุคที่ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ในช่วงนั้นประเทศไทยมี GDP เติบโตขึ้นปีละ 10% สามปีซ้อน ประเทศไทยจึงได้รับการขนานนามว่าเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย หลังจากนั้นเมื่อเกิดการรัฐประหารซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจถดถอย

“สาเหตุสำคัญคือ เราตามไม่ทันยุคของเทคโนโลยีและดิจิทัล ประเทศไทยอยู่ในยุคของการปฏิวัติครั้งที่ 4 จากนั้นขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปัญหาในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้รัฐบาลเป็นหนี้ทั้งหมด 60% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งถือว่าสูงมาก” นายสุวัจน์กล่าว

Advertisement

นายสุวัจน์กล่าวว่า ต่อจากนี้ประเทศไทยจะต้องฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ จะต้องสร้างแพลตฟอร์มเศรษฐกิจใหม่ และสังเกตว่ามีสิ่งใดที่ประเทศสามารถนำมาต่อสู้กับประเทศอื่นได้ หาจุดแข็ง หาตัวตน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องอยู่บนพื้นฐานความเข้มแข็ง และซอฟต์เพาเวอร์ โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร ซึ่งตนมองว่าประเทศไทยมีจุดแข็งทั้งหมด 3 เรื่องด้วยกัน คือ เรื่องเกษตร อาหาร ถัดมาคือเรื่องของการท่องเที่ยว สุดท้ายคือซอฟต์เพาเวอร์

จุดแข็งแรก คือ เรื่องการเกษตรและอาหาร นายสุวัจน์อธิบายว่า ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ของโลก แต่ส่งออกวัตถุดิบทางด้านเกษตรเป็นส่วนใหญ่ โดยไม่ได้นำมาแปรรูปและสร้างมูลค่าเพิ่ม หรือทำให้เป็นสินค้าอุตสาหกรรม ยกตัวอย่างเช่น มันสำปะหลัง 1 ปี ผลิต 5 ล้านตัน มีเพียง 1 ล้านตันเท่านั้นมีนำมาผลิตเป็นสินค้าอุตสาหกรรม และมีมูลค่าของ 1 ล้านตันนั้นเท่ากับ 4 ล้านตันที่ประเทศไทยส่งออกเป็นวัตถุดิบ จะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีโอกาสสูงที่จะสามารถใช้ศักยภาพความเป็นมหาอำนาจด้านเกษตร และสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างการแปรรูป ทุกวันนี้แรงงานภาคเกษตร 32% มีผลผลิต หรือ GDP เพียง 8% เท่านั้น รายได้ของประเทศ 8% เกิดจากคน 32% ของประเทศ จุดนี้จะเห็นถึงความไม่สมดุล เพราะฉะนั้นหากเปลี่ยนกระบวนการของอุตสาหกรรม พร้อมกับยกระดับความเป็นมหาอำนาจทางด้านเกษตร ข้าว อ้อย ยาง มัน น้ำมันปาล์ม จะสามารถเพิ่ม SME เพิ่มผู้ประกอบการ และเพิ่มรายได้ ซี่งเกษตรกรของประเทศจะร่ำรวยอย่างมหาศาลด้วยนโยบายนี้

จุดแข็งถัดมาคือ การท่องเที่ยว นายสุวัจน์อธิบายว่าประเทศไทยมีนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน สร้างรายได้ทั้งหมด 2 ล้านล้าน แปลงเป็น GDP คือประมาณ 15% ซึ่งภายใน 4 ปีนี้สามารถเพิ่มนักท่องเที่ยวเป็น 70 ล้านคน เคยอยู่ประเทศไทย 10 วัน ขยายเป็น 12 วัน เคยใช้จ่ายวันละ 5,000 บาท ขยายเป็น 6,000 บาท เพียงเท่านี้จาก 2 ล้านล้านบาท กลายเป็น 5 ล้านล้านบาท การท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นมาถึง 30% ของ GDP ต้องใช้การท่องเที่ยวเป็นการกระตุ้น ฟื้นฟู และสร้างฐานเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

Advertisement

จุดแข็งสุดท้าย คือ ซอฟต์เพาเวอร์ นายสุวัจน์ระบุว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยซอฟต์เพาเวอร์ ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ ดนตรี อาหาร วัฒนธรรม และโอท็อป ซึ่งจะต้องนำพลังของซอฟต์เพาเวอร์มาเป็นพลังทางเศรษฐกิจ

“ดังนั้น เกษตร อาหาร ท่องเที่ยว และซอฟต์เพาเวอร์ นี่คือจุดแข็งทางด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งจะนำมาทำเป็นแพลตฟอร์มใหม่” นายสุวัจน์กล่าว

ด้าน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า จะดูแลปัญหาของพี่น้องคนตัวเล็กด้วย 3 สร้าง 2 ขจัด

1.เราต้องสร้างรายได้ให้กับประชาชนก่อนด้วยกองทุน แก้หนี้ และสร้างแต้มต่อให้กับคนตัวเล็กและเติมทุนให้กับคนตัวเล็กด้วยกองทุนสร้างไทย 3 แสนล้านบาท กองทุนนี้จะช่วย SME ที่มีอยู่ 3 ล้านกว่าราย ที่เข้าถึงถึงระบบการเงินเพียง 4 แสนราย ไม่ใช่ประเทศนี้ไม่มีเงินแต่ใช้ไม่ถูกที่ เราจึงต้องสนับสนุนให้คนตัวเล็ก พนักงาน เด็กจบใหม่ เกษตรกร SME เข้าถึงแต้มต่อ นอกจากนี้ ยังมีกองทุนที่เรียกว่าเครดิตประชาชน ต้องบอกว่าเราไม่แจกบัตรคนจน เพราะเราไม่ต้องการให้ประชาชนคนไทยเป็นคนจนแต่เราจะแจกบัตรเครดิตประชาชนซึ่งจะมีวงเงินอยู่ 50,000 บาท ดอกเบี้ยเหลือเพียงร้อยละ 1 ต่อเดือน เอาไว้ล้างหนี้นอกระบบและตั้งตัวได้ กระจายโอกาสให้คนตัวเล็กได้ทำมาหากิน

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวต่อว่า เราจะสร้างแต้มต่อให้กับคนตัวเล็กที่รายได้ไม่ถึง 40,000 บาท ไม่ต้องเสียภาษีรวมทั้งยกเว้นภาษี SME ที่เป็นหนี้เสียในช่วงโควิด-19 และเราจะสร้างรายได้จากจุดแข็งของประเทศไทย เช่น อาหาร เกษตร การท่องเที่ยว สุขภาพ และ thainess economy จะเป็นซอฟต์เพาเวอร์ที่ยิ่งใหญ่ และภายใน 4 ปี เราตั้งเป้าหมายจะสร้างรายได้ 5 แสนล้านบาทได้อย่างแน่นอน ประเทศไทยติดกับดักรายได้ปานกลางมานานมากกว่า 30 ปี เราต้องจะสร้าง new engine ที่จะขยายฐานเศรษฐกิจไทย

“ทันทีที่เราเป็นรัฐบาล เราจะเชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงและรถไฟทางคู่จากเหนือลงไปถึงใต้ เราต้องกลายเป็นศูนย์กลางของการขนส่งและการเดินทางของภูมิภาคอาเซียน และภูมิภาคอาเซียนก็จะเป็นศูนย์กลางของคนทั้งโลก เราจะขายสถานที่ของเรา สมบัติที่ดีที่สุดของเราคือสถานที่ จะเชื่อมเหนือไปใต้ ตะวันออกไปตะวันตก เราจะผลักดันเพราะเราเป็นประเทศเดียวที่ขวางมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกไว้ เราจะผลักดันอย่างเต็มที่กับโครงการคลองไทยที่จะดึงดูดการลงทุนจากคนทั้งโลกมาที่นี่ อย่างแรกที่เราจะทำเมื่อเป็นรัฐบาลคือเราจะศึกษาอย่างจริงจังและปัญหาเดียวที่เราจะไม่ทำก็คือถ้ามีผลเสียทางด้านสิ่งแวดล้อม” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image