‘สกลธี’ ปลุก ไม่เลือกคนไร้ประสบการณ์ ลั่น พปชร.พร้อมขัดแย้ง พวกสั่นคลอน 3 เสาหลักชาติ
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 12 พฤษภาคม ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะดูแลรับผิดชอบพื้นที่ กทม. กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า เราอยากเห็นประเทศเดินไปทางไหน มีความมั่นคงไม่มีอุบัติเหตุ สะดุดให้ธุรกิจล้ม หรืออยากเห็นบ้านเมืองแตกแยกทางความคิดรุนแรง คนรุ่นใหม่ไปทาง คนรุ่นเก่าไปทาง หรืออยากเห็นสถาบันหลักของชาติที่เราเคารพนับถือถูกนำมาพูดคุยสนุกปาก ไร้ความเคารพ หรืออยากเห็นการชุมนุม
สาเหตุที่ต้องตั้งคำถามแบบนี้กับทุกคน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอด 20 ปีที่ผ่านมา การเมืองไทยในทุกระดับติดหล่มความขัดแย้ง ตั้งแต่การเมืองท้องถิ่น ระดับชาติ เลือกด้วยความเกลียดชัง พวกฉัน พวกเธอ สีนั้น สีนี้ โดยไม่ได้ดูว่า ผู้สมัครมีคุณภาพอย่างไรบ้าง หรือแต่ละพรรคเสนอนโยบายอะไรบ้าง หรือแม้แต่ช่วงนี้จะเป็นการหาเสียง ยังเห็นมีความรุนแรงจากความเห็นต่างอยู่เสมอ 2 วันที่แล้ว นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ถูกบุกไปตบหน้า ถือเป็นครั้งที่สองแล้ว เพียงเพราะนายศรีสุวรรณทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ทำให้กองเชียร์ฝ่ายตรงข้ามไม่พอใจ แต่ที่น่าแปลกใจ มีคนสะใจ และมีคนให้รางวัลกับคนลงมือ เราจะปล่อยให้ประเทศเป็นแบบนี้หรือไม่
นายสกลธีกล่าวว่า หรือเมื่อวันก่อน มีเยาวชนไปแสดงจุดยืนที่ สน.สำราญราษฎร์ มีการทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจจนได้รับบาดเจ็บที่หัว มีการเอาสีไปสาด เราอยากเห็นแบบนี้หรือ หรือการตรวจสอบคุณสมบัตินักการเมืองกรณีถือหุ้น ทุกคนที่อาสาเข้ามาเป็นผู้แทนต้องยอมรับการตรวจสอบให้ได้ เคารพข้อห้าม ที่พูดเรื่องนี้เพราะเป็นห่วง เนื่องจากมีแกนนำบางพรรคเมืองพูดว่า ถ้าได้รับการเลือกตั้งถล่มทลาย ถ้ามีการใช้กฎหมายทำให้โดนถอดถอน บ้านเมืองลุกเป็นไฟแน่ เพราะประชาชนไม่ยอม ซึ่งการพูดแบบนี้ ตนขนลุกกลางเดือน เมษายนเลย เพราะมีธงอยู่แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ
“ผมอยากเตือนสติว่า ไม่ว่าคุณจะได้รับการเลือกตั้งแบบถล่มทลายมากแค่ไหนก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรก็ได้ จะใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย จะเอามวลชนมาพิพากษาหรือฟอกผิดให้ใครไม่ได้ แล้วบ้านเมืองจะอยู่อย่างไร มวลชนปะทะกันบ้านเมืองจะสงบสุขได้อย่างไร”
นายสกลธีกล่าวว่า ระบอบประชาธิปไตยไม่ได้แปลว่า เสียงข้างมากจะถูกต้องทุกอย่าง การชนะทำให้มีโอกาสบริหารบ้านเมือง แต่ไม่ได้ทำให้อยู่เหนือกฎหมาย ถ้าทำแบบนั้นบ้านเมืองลุกเป็นไฟแน่ ถามว่าอยากเห็นประเทศขัดแย้งแบบที่ผ่านมา 20 ปีหรือไม่ ฉะนั้น การชูแนวทางการก้าวข้ามความขัดแย้งจึงเป็นยิ่งกว่านโยบายของ พปชร. เพราะถ้าเราก้าวข้ามความขัดแย้งไม่ได้ มีนโยบายดีแค่ไหนอย่างไรก็ไม่มีค่า เพราะประเทศจะไม่เหลืออะไรเลย ความรักใคร่กลมเกลียวหลายสิบปีจะแตกหัก ทั้งนี้ ตนโดนถามเยอะมากว่า การก้าวข้ามความขัดแย้งคืออะไร หมายความว่าเราจับกับทุกคน จับกับทุกขั้วหรือไม่ ขอชี้แจงว่าไม่ใช่ แต่คือการทำให้ประชาชนในประเทศกลับมารักกันให้ได้เหมือนเดิม ฟังคนที่เห็นต่าง แตกต่างกันแต่อยู่ด้วยกันได้ เป็นความสวยงามในระบอบประชาธิปไตย
“และบอกตรงนี้เลยว่า แม้การก้าวข้ามความขัดแย้งจะเป็นคำตอบของประเทศ แต่จะมีเส้นที่ก้าวข้ามไม่ได้คือ ข้ามศาสนา และพระมหากษัตริย์ ที่เป็นเสาหลักของประเทศนี้ ดังนั้น หากพรรคใดไม่เอา ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือทำการใดให้สั่นคลอน ถึงจะขัดแย้งก็ต้องขัดแย้ง เพราะยอมรับไม่ได้ เป็นจุดยืนที่เข้มแข็งที่สุดของ พปชร.” นายสกลธีกล่าว
นายสกลธีกล่าวว่า และการก้าวข้ามความขัดแย้ง ลำพังประชาชนทำอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีคนที่เป็นตัวกลางนำก้าวข้ามความขัดแย้ง พปชร.มีลุงป้อม สาเหตุที่เสนอลุงป้อม ให้ลองดูที่ พปชร.พรรคเรามีคนเก่งมากมายในเรื่องเศรษฐกิจ มาอยู่รวมกันได้เพราะลุงป้อมเป็นศูนย์รวมจิตใจของทุกคน เป็นคนที่รับฟังทุกคน อย่างไรก็ตาม ประเทศไม่ใช่ของเล่น ต้องไม่เอาผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ หาเสียงแต่ในเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ คอยแต่สร้างความเกลียดชัง เรายอมไม่ได้ ประเทศเรามีความเป็นประเทศมาหลายร้อยปี มันไม่มีเวลาให้ครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งที่เห็นประเทศเป็นห้างสรรพสินค้า สลับสับเปลี่ยนให้คนในครอบครัว หากพ่อไม่ได้ให้เอาอา อาไม่ได้ให้เอาหลาน ซึ่งไม่ได้ และหลังๆ มานี้จะได้ยินวาทกรรมจากนักการเมืองเยอะมากว่าให้เลือกตั้งแบบมียุทธศาสตร์ ทำนองว่าไม่เลือกเรา เขามาแน่ เลือกให้ขาด อยากเรียนว่า ทุกสิทธิทุกเสียงของประชาชนมีความหมาย การเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม อยากให้ทุกคนเข้าไปเลือกด้วยหัวใจ ไม่ใช่เลือกด้วยความเกลียด หรือความกลัว อย่ากลัวว่าเลือก พปชร.แล้วพรรคอื่นจะมา เหมือนเอาความขัดแย้งของประชาชนมาหากิน เราไม่ทำ