บิ๊กป้อม ประกาศภารกิจสุดท้ายในชีวิต ลั่นได้เป็นนายกฯ จะทำทุกอย่างที่สัญญาไว้ทันที

‘บิ๊กป้อม’ ปลุกกา พปชร. ประเทศชาติไม่วุ่นวาย ลั่นทําทุกนโยบายทันทีที่เป็นรัฐบาล ยํ้า เป็น รบ.มา 8 ปี รับฟังทุกฝ่ายไม่มีอคติ

เมื่อเวลา 15.45 น. วันที่ 12 พฤษภาคม ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า วันนี้ถือว่าสำคัญยิ่ง เป็นการปราศรัยครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่มาฟังปราศรัยในวันนี้ ทุกนโยบายที่เราหาเสียงไว้ ขอสัญญาว่าเราจะทำให้สำเร็จ เพราะตนเป็นบุคคลที่ไม่มีภาระใดๆ ไม่มีธุรกิจใดๆ ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง มีเพียงภารกิจเดียวที่จะเป็นภารกิจสุดท้ายในชีวิต คือการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้ประเทศไทย ขอให้ทุกคนช่วยกัน

พล.อ.ประวิตรกล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมาของการเป็นรัฐบาล ตนสามารถพูดคุยกับทุกคน รับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายโดยไม่มีอคติใดๆ ตลอดชีวิตของตนมีหน้าที่ในการปกป้องประเทศจากศัตรูและภยันตรายในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ความมั่นคง ป้องกันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่งของเรา วันนี้ตนได้เห็นแล้วว่าประเทศของเรา โดยเฉพาะปัญหาความยากจนและปัญหาปากท้อง ไปจนถึงการก้าวข้ามความขัดแย้ง และการก้าวล่วงสถาบัน การแทรกแซงทางการเมืองทั้งจากภายในประเทศและนอกประเทศ ตนและพรรค พปชร.มุ่งมั่นจะเอาชนะปัญหาเหล่านี้ให้ได้ ขอให้รับรองว่าเราจะไปด้วยกัน ทุกนโยบายที่รับปากประชาชนไว้ จะทําทันทีที่เป็นนายกรัฐมนตรี ขอให้เชื่อมั่นว่าตนจะทำได้ พรรค พปชร.และผู้บริหารทุกคน จะนําประชาชนไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง พรรค พปชร.จะช่วยกันทำให้ประเทศมีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป

Advertisement

“ขอให้เลือกผมและพรรคพลังประชารัฐ ประเทศชาติจะไม่วุ่นวาย เศรษฐกิจจะเดินหน้า ค้าขายจะเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะฉะนั้นขอให้เลือกพรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 และขอฝากผู้สมัครของแต่ละเขตด้วย เราจะก้าวข้ามความขัดแย้งไปด้วยกัน เพราะถ้าประเทศเรามีความสงบ ความเจริญก็จะมาสู่ประเทศเราอย่างแน่นอน พรรคพลังประชารัฐ ผู้บริหาร และผู้สมัครทุกคน ยินดีที่จะทำเพื่อประชาชน นำความเจริญมาสู่ประเทศชาติ ขอให้ทุกคนก้าวข้ามความขัดแย้งไปด้วยกัน” พล.อ.ประวิตรกล่าว

นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ผมในนามของพรรคพลังประชารัฐตลอดระยะเวลาหาเสียงกว่า 2 เดือน เราได้รับเสียงตอบรับที่อบอุ่นจากคนไทยทั้งประเทศ ต้องขอขอบคุณด้วยใจ วันที่ 14 พ.ค.นี้ อนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือของประชาชนทุกคน จึงอยากให้ทุกคนตั้งคำถามว่า อยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไร? อยากเห็นเศรษฐกิจที่ดี คนไทยกินดีอยู่ดี หรืออยากจะเห็นความแตกแยกของคนสองยุค อยากเห็นคอร์รัปชั่น ยาเสพติดระบาดทั่วเมือง ที่ผ่านมาการเมืองไทยไม่ไปไหนเพราะติดหล่มอยู่กับความขัดแย้ง

Advertisement

นายสกลธีกล่าวต่อว่า คนที่อาสาเข้ามาเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน ต้องเคารพการตรวจสอบได้ ประชาชนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด รักใคร ก็ต้องยอมรับกฎหมาย ตนอยากจะเตือนสติว่า ไม่ว่าคุณจะได้รับการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย การเลือกตั้งคือ การที่คุณได้มีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศเท่านั้น ไม่ใช่คุณจะอยู่เหนือกฎหมาย แล้วมาใช้กฎหมู่ทำลายล้างกัน ดังนั้น ประเทศเราต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง ของพรรคพลังประชารัฐ คือ อยากจะให้ประชาชนรักกัน

“พรรคพลังประชารัฐมีกองทุนประชารัฐพัฒนาประเทศ 3 แสนล้านบาท ที่จะพัฒนากรุงเทพฯ ขอเพียงแค่ประชาชนให้โอกาสผู้สมัครของเราเข้าไปลงมือทำ ซึ่งพรรคเรามี พล.อ.ประวิตร เป็นผู้จัดการตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังการทำงาน จนทำให้รัฐบาลอยู่มาได้ถึง 4 ปี ผลงานที่ทุกคนรู้กันดีก็คือ แก้หนี้นอกระบบ แก้เศรษฐกิจ และแก้ปัญหาน้ำ” นายสกลธีกล่าว

นายวราเทพกล่าวว่า พรรคนี้อนาคตไกล จึงขอเป็นตัวแทน กก.บห. พรรคนี้ไม่มีนายใหญ่ และไม่มีครูใหญ่ แต่มีใจบันดาลแรง วันนี้มีหลายเวที และที่ผ่านมามีวาทกรรมที่เกิดขึ้นตลอดการหาเสียง 60 วัน สร้างความเกลียดชังและใส่ร้าย แต่ พปชร.มีนโยบายโดยไม่ต้องมีวาทกรรม ไม่ต้องแอบอ้างว่าคิดใหญ่ ทำเป็น แต่เราคิดเป็น ทำได้ และทำทันที บางคนบอกให้กาพรรคประเทศไทยไม่เหมือนเดิม แต่ถ้ากา พปชร.ประเทศไทยจะดีกว่าเดิม

นายวราเทพกล่าวต่อว่า กว่า 20 ปี ท่ามกลางวิกฤตสถานการณ์ เห็นแต่ พล.อ.ประวิตรที่ทำได้ ถึงไม่ย้ายไปไหน หลายคนอยากกลับมา จึงบอกว่าหลังเลือกตั้งให้กลับมา ถามว่าผู้นำคนไหนเป็นแบบนี้ จะเลือกคนหนุ่มสาว แต่ผู้นำที่เคลือบแคลงจะมาเปลี่ยนแปลงจะทำให้เชื่อได้หรือไม่ เราต้องเลือกแบบมีเหตุผล ไม่ใช่เลือกข้างใดข้างหนึ่งแบบไร้สติ ขอให้ประชาชนคิดอย่างไรก็ได้เพื่อหยุดความขัดแย้ง และก้าวข้ามไปด้วยกัน

“วันนี้ไม่มีรัฐบาลพรรคไหนที่จะไม่ทำเพื่อประชาชน ทุกคนอยากทำเพื่อประชาชน แต่โอกาสไม่เหมือนกัน ครั้งที่แล้ว เราเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล และมีพรรคร่วม 19 พรรค แต่หัวหน้าเราไม่มีโอกาสเป็นนายกฯ แต่วันนี้หัวหน้าพรรค พปชร.มีโอกาสเป็นนายกฯแล้ว และคิดว่าสามารถทำได้ในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง โดย 4 ปีที่แล้วมีพรรคเดียวที่ชนะใจคนทุกภูมิภาคคือพรรค พปชร.ที่มี ส.ส.ทุกภาค รวมทั้ง กทม. 12 คน เพียงพรรคเดียวได้ ส.ส. 116 คน ในครั้งนี้ขอให้ทุกคนพิสูจน์ว่า คน กทม.จะเลือกกลับมาเป็น 2 เท่า และผมเชื่อมั่นว่าทางออกของประเทศจะเกิดขึ้นได้ ถ้ามีผู้นำที่ตั้งใจ และเดินทางไปดูแลประชาชนครบทุกจังหวัด อย่าง พล.อ.ประวิตร” นายวราเทพกล่าว

ด้านนายสนธิรัตน์กล่าวกับพี่น้องประชาชนว่า อีก 2 วัน จะเป็นการชี้ชะตาของประเทศไทย กว่า 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยตกอยู่ในวังวนความขัดแย้ง ครั้งนี้เราจะปล่อยให้ประเทศเดินเข้าวังวนแบบนั้นอีกหรือไม่? เราต้องหยุดวงจรนี้และเดินหน้าไปพร้อมกับพรรคพลังประชารัฐ เรากำลังจะได้ตัดสินอนาคตของพวกเราทุกคน มันจะมีผลกระทบต่อชีวิตคนไทยทั้งประเทศ

“พรรค พปชร.จะเป็นสถาบันทางการเมืองที่จะพาพี่น้องคนไทยผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ เพราะหลายคนกำลังกังวลถึงความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคการเมืองที่จะเข้ามายุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้น พรรคที่สามารถเชื่อมโยง พูดคุยกับทุกพรรค นั่นก็คือพรรค พปชร.ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่เหมาะสมที่สุดในสถานการณ์ตอนนี้ เพราะผู้นำทางการเมืองต้องพร้อมที่จะเป็นกาวใจให้กับทุกฝ่าย ต้องมีบารมีที่ทุกฝ่ายให้ความเกรงใจ รวมถึงพร้อมรับฟัง และพร้อมทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับประชาชน” นายสนธิรัตน์กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image