คณบดีรัฐศาสตร์จุฬาฯ ไขข้อสงสัย เลือกตั้ง’66 ทำไม? ถึงสำคัญกว่าครั้งใด

คณบดีรัฐศาสตร์จุฬาฯ ไขข้อสงสัย เลือกตั้ง’66 ทำไม? ถึงสำคัญกว่าครั้งใด

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ปี 2566 มีความหมายอย่างยิ่งต่ออนาคตชาติ รศ.ดร.ปกรณ์ ศิริประกอบ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แนะการเตรียมตัว เตรียมความคิดก่อนเดินหน้า เข้าคูหาวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566

“บริบทโลกในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงฉับไว และซับซ้อน เราต้องการตัวแทนที่เข้ามาแก้ไ ขและจัดการปัญหาความท้าทายที่ไม่เคยเจอมาก่อน การเลือกตั้งครั้งนี้จึงสำคัญมากกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังไม่จบ หรือหมดไป การก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ของประเทศที่ประชากรร้อยละ 20 มีอายุมากกว่า 60 ปี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยธรรมชาติ ฝุ่น PM 2.5 ฯลฯ ความท้าทายเหล่านี้ และปัญหาอีกมากที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ต้องการคนที่มีภาวะผู้นำ และศักยภาพในการฟันฝ่าหาทางออกอย่างสร้างสรรค์” รศ.ดร.ปกรณ์ กล่าว

การเลือกตั้ง ส.ส.ปี 2562 มีผู้มาใช้สิทธิ 38 ล้านคน จากจำนวนผู้มีสิทธิทั้งสิ้น 51 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 74.87 ของผู้มีสิทธิทั้งหมด ปีนี้คาดว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส.มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะเป็นเพราะผู้มีสิทธิเลือกตั้งมี 52 ล้านคน

Advertisement

ยังเนื่องมาจากเหตุปัจจัยสำคัญ 3 ประการ คือ ประการแรก คนไทยเข้าใจ และตื่นตัวมากขึ้นทางการเมือง เห็นว่าการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือสำคัญในการได้มาซึ่งคนที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหา และพัฒนาประเทศ

ประการที่สอง รูปแบบการหาเสียงทุกวันนี้แตกต่างจากแต่ก่อน โดยเฉพาะการหาเสียงออนไลน์ ทำให้ผู้มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ ได้ง่าย และมากขึ้น รวมทั้ง ผู้สมัคร ส.ส.เองก็เข้าถึงผู้มีสิทธิได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีตด้วย ประการสุดท้าย ในการเลือกตั้งครั้งนี้ มีการบริหารจัดการให้กลุ่มผู้พิการ และผู้สูงอายุ มีความสะดวกมากยิ่งขึ้นกว่าครั้งที่ผ่านมา โดยเปิดหน่วยเลือกตั้งพิเศษสำหรับผู้สูงอายุ และผู้พิการ เพิ่มขึ้นรวม 28 แห่ง ใน 23 จังหวัด ทั้งนี้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นคนพิการ และผู้สูงอายุซึ่งในบางครั้งเป็นกลุ่มเดียวกัน เมื่อรวมกันแล้วมีอย่างน้อยที่สุดประมาณ 12 ล้านคน หรือร้อยละ 23 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งหากนับรวมครอบครัว หรือผู้ดูแลในสัดส่วนคนพิการ/ผู้สูงอายุ 1 คน กับครอบครัว 1 คน จะเท่ากับ 24 ล้านคน หรือร้อยละ 46

การมีส่วนร่วมของพลเมืองเป็นหัวใจหลักของการปกครองในระบบประชาธิปไตย หากผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกมาใช้สิทธิกันมากก็จะเป็นภาพสะท้อนว่าประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น

Advertisement

๐ ดูนโยบายแก้ปัญหามากกว่าชูคน หรือพรรคการเมือง

การหาเสียงครั้งนี้มีรูปแบบที่ต่างไปจากเดิมพอสมควรตามบริบทสังคมที่เปลี่ยนไป รถกระจายเสียงที่แล่นไปตามถนนดูจะมีจำนวนลดลง เปลี่ยนเป็นการจัดเวทีสาธารณะตามแหล่งชอปปิ้ง ทั้งกรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ๆ วิธีการหาเสียงมีการเปิดเวทีรับฟังความเห็นประชาชนมากขึ้น และมีการสื่อสารอย่างเป็นกันเอง นอกจากนี้ การหาเสียงในโลกออนไลน์ก็คึกคัก ยิงตรงถึงกลุ่มเป้าหมายของแต่ละพรรค และใช้งบประมาณลดลงด้วย และยังมีพื้นที่ให้เกิดการสื่อสารสองทางระหว่างผู้มีสิทธิเลือกตั้งกับผู้สมัคร

ในอดีตรูปแบบการหาเสียงเลือกตั้งจะเน้นตัวผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง น้อยคนจะสนใจนโยบายของพรรคการเมืองอย่างจริงจัง แต่ในวันนี้ ผู้คนดูจะสนใจนโยบายต่างๆ ของพรรคการเมืองมากขึ้น ในการหาเสียง แต่ละพรรคเน้นชูนโยบายที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น เห็นได้จากป้ายหาเสียงที่นำเสนอนโยบายที่เข้าใจง่าย จับต้องได้ มากกว่าการเน้นที่ตัวผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองเหมือนในอดีต สิ่งนี้สะท้อนว่าคนมองปัญหา และสนใจการแก้ไขของแต่ละพรรคมากขึ้น เข้าใจว่าเป็นการเลือกตั้งเป็นการหาผู้นำ และตัวแทนเข้าไปแก้ปัญหาสังคม มากกว่าการเลือกแค่คน หรือพรรคการเมืองที่ชอบเหมือนครั้งอดีตที่ผ่านๆ มา

อะไรที่เป็นปัญหาคาใจ และต้องการแก้ไข หรือต้องการพัฒนา ให้หาข้อมูลว่าใคร พรรคการเมืองใด สนใจแก้ไขปัญหา หรือจะพัฒนาเรื่องที่ตรงกับใจเรา ข้อเสนอที่จะแก้ไข และพัฒนานั้น ทำให้เกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ในระยะเวลา 4 ปี และด้วยฐานะทางการเงินของประเทศไทยเรา ที่สำคัญสุดคือ คนนั้น พรรคนั้น เคยลงมือทำ หรือได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการผลักดันให้เกิดขึ้นจริง หรือมีผลงานความสำเร็จหรือไม่ในอดีตที่ผ่านมา

แต่หากสนใจให้โอกาสพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่ ก็ให้ลองศึกษาภูมิหลังของผู้สมัคร และนโยบายพรรคว่ามีประสบการณ์สอดคล้อง หรือเป็นไปได้กับเรื่องที่ต้องการผลักดันหรือไม่

๐ ทุ่มงบเลือกตั้ง 6,000 ล้านบาท ต้องไม่สูญเปล่า

ก่อนจะกากบาทเลือกใคร หรือพรรคใด ทุกคนต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เพราะการเลือกตั้งมีราคาที่ต้องจ่าย ทั้งวันนี้ไปจนถึงวันข้างหน้า การเลือกตั้งครั้งนี้ใช้งบประมาณแผ่นดินสูงถึง 6,000 ล้านบาท ขอให้ใช้วิจารณญาณให้ดี อยากให้ 4 ปีข้างหน้า ไม่มีใครรู้สึกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเรื่องเสียเวลา หรือเสียโอกาสของประเทศ

3 สิ่งใหม่ในการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไปปี 2566 การเลือกตั้งปี 2566 มี 3 เรื่องใหม่ที่ผู้มิสิทธิเลือกตั้งควรใส่ใจ ดังนี้ 1.การแบ่งเขตเลือกตั้งแบบใหม่
หลายคนอาจรู้ว่ามีการแบ่งเขตการเลือกตั้งใหม่ แต่รู้หรือไม่ว่าการแบ่งเขตใหม่ทำให้เกิดอะไร โดยรวมจำนวน ส.ส.ในสภายังคงจำนวนเท่าเดิมคือ 500 คน แต่การแบ่งเขตแบบใหม่จะทำให้จำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขตมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น จากเดิมในปี 2562 มีจำนวน ส.ส.เขต 350 คน แต่การเลือกตั้งปีนี้ เราจะได้ ส.ส.แบบแบ่งเขตทั้งสิ้น 400 คน ส่วน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจะลดลง จากเดิม 150 คน เหลือเพียง 100 คน

2.บัตรเลือกตั้งมี 2 ใบ เลือกคน กับเลือกพรรค สิ่งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งควรระวังก่อนเข้าคูหาคือ หมายเลขผู้สมัครรับเลือกตั้ง กับหมายเลขพรรคการเมือง ซึ่งอาจไม่ใช่เบอร์เดียวกันเหมือนครั้งที่ผ่านมา ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องจำหมายเลขผู้สมัครรับเลือกตั้ง และหมายเลขพรรคการเมืองที่จะเลือกให้แม่นยำ อย่าสับสน เพราะเมื่อเข้าคูหาไปแล้วไม่สามารถออกมาดูได้อีก

และ 3.การเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตที่มีสิทธิ ตามระเบียบระเบียบคณะกรรมการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566 ข้อ 192 แต่เดิมการเลือกตั้งล่วงหน้าทำได้เฉพาะนอกเขตที่อยู่อาศัยของตนเองเท่านั้น โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ประสงค์จะเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตที่ตนเองมีสิทธิ ต้องส่งหลักฐานว่ามีคำสั่งเดินทาง หรือมีคำสั่งให้ไปทำงานในวันที่เลือกตั้งจากหน่วยงานต่อนายทะเบียนอำเภอ หรือนายทะเบียนท้องถิ่น แต่ครั้งนี้ทำได้โดยที่ต้องแจ้งความประสงค์ในการเลือกตั้งล่วงหน้าว่าเราต้องการเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตที่ตัวเองมีสิทธิ โดยที่ต้องส่งหนังสือ หรือจดหมายยืนยันถึงความไม่สะดวกในการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม และต้องการใช้สิทธิในวันที่ 7 พฤษภาคม ในพื้นที่ที่ตนเองมีสิทธิเลือกตั้ง

๐ นับคะแนนรูปแบบใหม่ ดีอย่างไร

การเลือกตั้งครั้งนี้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ คือ ใบเลือกพรรค และใบเลือกผู้สมัคร มองว่าจะช่วยให้ประชาชนตัดสินใจเลือกได้ง่ายกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อนปี 2562 ที่มีบัตรเลือกตั้งเพียงใบเดียว ครั้งก่อนเป็นการบังคับว่าเลือกพรรคเท่ากับเลือกคน หรือเลือกคนเท่ากับเลือกพรรค เนื่องจากพรรคกับคนใช้คะแนนร่วมกัน แต่ครั้งนี้สามารถเลือกคน แยกจากพรรคได้ ทำให้ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง สามารถเลือกคนในพื้นที่ที่ทำงานในพื้นที่จริงๆ ได้ โดยที่ยังเลือกพรรคที่ชอบนโยบาย หรือให้ผู้ที่พรรคการเมืองแจ้งชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีไว้ได้

กฎเกณฑ์ใหม่ดังกล่าวทำให้ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งสามารถลงคะแนนได้เป็น 2 ทาง คือ 1.กาเลือกคนเพื่อบริหารจัดการชุมชน กาเลือกพรรคเพื่อบริหารประเทศ และ 2.กาเลือกทั้งคนและพรรคเดียวกันทั้ง 2 ใบ การกาแบบนี้คือ การเลือกทั้งคน และพรรคมาบริหารประเทศ เพราะถ้าคนที่เราเลือกได้รับการเลือกตั้ง ก็ทำให้ตัวเลขจำนวน ส.ส.ของพรรคเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อการสนับสนุนพรรคของตัวเองในการจัดตั้งรัฐบาลได้

๐ หลักคิดของการนับคะแนนที่แตกต่างระหว่างปี 2562 และ 2566

รูปแบบการนับคะแนนในปี 2562 ที่มีบัตรเลือกตั้งเพียงใบเดียว เน้นให้ค่ากับทุกคะแนน หรือที่เรียกกันว่าไม่มีคะแนนเสียงตกน้ำ เนื่องจากถ้าคนที่ 1 เป็นผู้ชนะ คะแนนของคนที่ 2, 3 ไล่ลงมาจนถึงคะแนนของคนสุดท้าย จะยังคงถูกนับเป็นคะแนน และนำไปรวมในคะแนนของพรรค จึงไม่มีคะแนนใดหล่นหาย แต่การเลือกตั้งในปีนี้ คะแนนของบัตรใบที่เลือกคน จะได้ผู้ชนะเพียงคนเดียว คะแนนของคนที่ได้อันดับ 2 ลงไปจนถึงคะแนนของคนสุดท้าย จะไม่ถูกนำมาใช้ใดๆ อีก

สำหรับการนับคะแนนของ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ก็มีการปรับสูตรการคำนวณใหม่เช่นกัน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อมีทั้งสิ้น 100 คน จะได้มาจากการเอาจำนวนคะแนนบัตรเลือกพรรคการเมือง ที่เป็นบัตรดีทั้งหมด มาหาร 100 ที่นั่ง ก็จะได้คะแนนเฉลี่ยของ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 1 คน ยกตัวอย่างว่า หากการเลือกตั้งครั้งนี้มีคนมาลงคะแนนบัตรเลือกตั้งพรรคการเมือง 40 ล้านคน เมื่อนำจำนวน 40 ล้าน มาหารด้วยจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน จะได้เท่ากับ 400,000 นั่นหมายความว่าพรรคการเมืองจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน จากทุกๆ 400,000 คะแนนเสียงที่ได้

ตามตัวอย่างการคำนวณข้างต้น สมมติพรรค A ได้คะแนนพรรค 4 ล้านคะแนน ก็เท่ากับได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 10 คน นับอย่างนี้จนครบทุกพรรคการเมือง ถ้า ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อยังไม่ครบ 100 ที่นั่ง ก็จะย้อนมาดูที่จุดทศนิยมของแต่ละพรรคการเมือง พรรคใดมีจุดทศนิยมสูงที่สุด ก็จะได้ที่นั่งเพิ่ม 1 ที่นั่งก่อน แล้วไล่ไปจนครบ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน เช่น พรรค A ได้คะแนน 10.8 พรรค B ได้ 8.5 พรรค C ได้ 0.7 ตามคะแนนนี้ พรรค A จะได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อเพิ่มมา 1 คน แล้วก็ต่อด้วยพรรค C ได้เพิ่มมาอีก 1 คน แล้วจึงตามด้วยพรรค B ตามลำดับ แม้บางพรรคการเมืองอาจจะหารออกมาแล้วไม่ได้คะแนนเต็ม แต่มีจุดทศนิยมสูงก็อาจจะได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อมา 1 คน

๐ เตรียมตัวอย่างไรกับการเลือกตั้งปี 2566

เตรียมบัตรให้พร้อม บัตรอะไรก็ได้ที่ออกโดยหน่วยงานภาครัฐ ที่มีรูปถ่าย และเลขประจำตัวประชาชน 13 หลักปรากฏอยู่บนบัตร เช่น บัตรประชาชน ใบขับขี่ หนังสือเดินทาง หรือบัตรประจำตัวคนพิการ วางแผนให้มีเวลาสัก 1 ชั่วโมงในวันเลือกตั้ง ระหว่างช่วงเวลา 08.00-17.00 น. สำหรับการเดินทาง และไปใช้สิทธิ การเลือกตั้งทุกวันนี้สะดวกมากขึ้น หน่วยเลือกตั้งอยู่ใกล้บ้านของผู้มีสิทธิมากกว่าเดิม ความแออัดก็ลดลง ศึกษากติกาการเลือกตั้งให้ดี จำหมายเลขของผู้ที่เราต้องการเลือกให้แม่น คนในใจหมายเลขอะไร พรรคการเมืองเบอร์อะไร เพราะเราเข้า-ออกคูหาเลือกตั้งได้แค่ครั้งเดียว หากพบเห็นพฤติกรรม หรือการกระทำที่ไม่ถูกต้อง น่าสงสัย ให้แจ้งเบาะแสไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ

๐ จับทุจริตเลือกตั้งมีรางวัลให้

นอกจากการทำหน้าที่ และใช้สิทธิพลเมืองในการเลือกตั้ง ส.ส.แล้ว อีกสิ่งที่พลเมืองที่ดีทำได้ และพึงทำคือการเป็น watchdog ช่วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการสอดส่องดูแลให้การเลือกตั้งปลอดการทุจริต คนส่วนมากมีกล้องวิดีโออยู่ในมือถืออยู่แล้ว พร้อมที่จะถ่ายภาพ หรือคลิปต่างๆ ได้ทันทีที่เจออะไรที่สงสัยว่าไม่ตรงไปตรงมา ทำบันทึกส่งมาที่ กกต.กลาง กกต.จังหวัด หรือส่งผ่านแอพพลิเคชั่นตาสับปะรดก็ได้ กกต.มีรางวัลให้แก่ผู้ที่แจ้งเบาะแสการทุจริตการเลือกตั้งอีกด้วย

๐ ข้อควรระวัง และห้ามทำในการเลือกตั้ง

จากระเบียบคณะกรรมการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566 ข้อ 174 ระบุไว้ชัดเจนว่าบัตรเสียนั้นเป็นอย่างไร และการกระทำใดที่ก่อให้เกิดบัตรเสีย ได้แก่ บัตรปลอม บัตรเปล่าที่ไม่ได้กากบาท กากบาทที่ออกมานอกกรอบสี่เหลี่ยม ทำเครื่องหมายอย่างอื่นนอกเหนือจากเครื่องหมายกากบาท กากบาทในช่องที่ไม่มีผู้สมัคร กากบาทมากกว่าจำนวนที่กำหนด ขีดเขียนบัตรเลือกตั้ง เช่น เซ็นต์ลายเซ็น บัตรเลือกตั้งที่ไม่ได้มาจากหน่วยเลือกตั้ง การขีดฆ่าเครื่องหมายแล้วกากบาทใหม่

นอกจากนี้ การทำบัตรเสียบางกรณียังนับเป็นการกระทำผิดกฎหมายอีกด้วย ห้ามโชว์บัตรเลือกตั้งว่าเราเลือกตั้งเบอร์อะไร ห้ามถ่ายรูปบัตรเลือกตั้งที่มีการทำเครื่องหมายแล้วโพสต์ลงสื่อสังคมออนไลน์ ห้ามทำลายบัตรเลือกตั้งในทุกกรณี หรือหากเกิดความผิดพลาดใดๆ ไม่สามารถขอบัตรใบใหม่ได้ การทำเครื่องหมายและสัญลักษณ์อื่นใดที่ไม่ใช่กากบาทลงบนบัตรเลือกตั้ง การใช้บัตรเลือกตั้งอื่นที่ไม่ได้มาจากหน่วยเลือกตั้งที่ไปใช้สิทธิ ทั้งนี้ โทษของการกระทำผิดดังกล่าวคือการถูกจับกุมดำเนินคดึและรับโทษ ซึ่งโทษสูงสุดอาจถึงจำคุก

๐นอนหลับทับสิทธิ เสียสิทธิอะไรบ้าง

การที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ใช้สิทธิเลือกตั้งตามหน้าที่พลเมือง จะเสียสิทธิทางการเมือง ตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 35 ประกอบด้วย 1.ไม่มีสิทธิร่วมลงชื่อยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2.ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา 3.ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกเป็นกำนันและผู้ใหญ่บ้านตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องที่

นอกจากนั้นแล้ว ยังส่งผลให้ขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่ง 1.ข้าราชการการเมือง ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมืองและข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมือง ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภา 2.นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) 3.ประธานที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น / ที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น / คณะที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น /รองผู้บริหารท้องถิ่น / เลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น / ผู้ช่วยเลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น 4.ทุกตำแหน่งที่ผ่านการลงคะแนนเลือกตั้ง

การจำกัดสิทธิทางการเมืองมีกำหนดเวลาครั้งละ 2 ปี นับแต่วันเลือกตั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเท่านั้น หากมีการเลือกตั้ง และไปใช้สิทธิในครั้งต่อไป สิทธิทางการเมืองย่อมกลับคืนมา

อย่างไรก็ตาม กกต.เปิดโอกาสให้กับผู้ที่ไม่ได้มาใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่กำหนด ได้ชี้แจงเพื่อให้ไม่ถูกตัดสิทธิได้ว่าด้วยเหตุผลใด ทำให้ไม่สามารถมาใช้สิทธิเลือกตั้งในวันนั้นได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image