นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง นายแสวง บุญมี เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ร่วมแถลงภาพรวมการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม ว่ามีประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง 39,293,867 คน จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดกว่า 52 ล้านคน คิดเป็นผู้ใช้สิทธิร้อยละ 75.22 โดยผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ พรรคก้าวไกลมี ส.ส.มากที่สุด ต่อมา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล แถลงข่าวประกาศความพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี และส่งเทียบเชิญพรรคการเมืองอีก 5 พรรคเข้าร่วมรัฐบาล รวม 310 เสียง
จากนั้นพรรคเพื่อไทยที่ได้รับการทาบทาม โดยมี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค รวมทั้งผู้บริหาร และ นายเศรษฐา ทวีสิน ตลอดจน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย ร่วมแถลงตอบรับเทียบเชิญจากพรรคก้าวไกล ประกาศทำตามกติกา เปิดทางให้พรรคที่ได้ ส.ส.มากที่สุดจัดตั้งรัฐบาล อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญปี 2560 นายกรัฐมนตรีต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากรัฐสภา ซึ่งต้องได้เสียงเกินกว่า 375 เสียง
ในมุมมองของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยเห็นว่า เมื่อประชาชนใช้สิทธิเลือกตั้งจำนวนมาก และพรรคก้าวไกลได้รวบรวมเสียงจากพรรคการเมืองต่างๆ มากกว่า 300 เสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาล พรรคใหญ่ทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยจับมือกันกับพรรคอื่นๆ แล้วน่าจะปิดประตูแนวทางตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ดูเหมือนว่ายังมีวุฒิสภาหลายคนจะใช้สิทธิไม่ออกเสียง ทำให้คะแนนสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีจะถึงหรือไม่ถึงกึ่งหนึ่งของรัฐสภาหรือไม่ยังไม่ทราบ
การลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีกำลังกลายเป็นประเด็นทางการเมืองระหว่างฝ่าย ส.ส.กับฝ่าย ส.ว. ซึ่งเบื้องต้นเมื่อพรรคก้าวไกลส่งเทียบเชิญให้พรรคการเมือง 5 พรรคเข้าร่วมรัฐบาล 310 เสียงแล้วพรรคเพื่อไทยประกาศให้พรรคก้าวไกลซึ่งได้ ส.ส.มากที่สุดจัดตั้งรัฐบาล ถือเป็นการนำกติกาซึ่งยึดเจตจำนงของประชาชนมาใช้อีกครั้ง หลังจากที่การเลือกตั้งครั้งที่แล้วพรรคอันดับ 2 ชิงรวบรวมพรรคต่างๆ จัดตั้งรัฐบาลแม้พรรคเพื่อไทยจะได้เสียง ส.ส.มากกว่า ถือว่าพรรคเพื่อไทยยึดตามเจตจำนงของประชาชนที่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ซึ่งหวังว่าวุฒิสภาจะยึดตามเจตจำนงของประชาชนที่ใช้สิทธิไปเลือกตั้ง เพื่อตั้งรัฐบาลใหม่ นายกฯคนใหม่ และอนาคตใหม่ของประเทศไทย