จาตุรนต์ชี้ 2 ซีนาริโอวิกฤต ถ้าพิธาตั้ง รบ.ไม่ได้ ขอทุกพรรค ใช้โอกาสนี้ปลดชนวนร่วมกัน
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ถึงกรณีที่สังคมออกมาเรียกร้องให้ ส.ว.โหวตสนับสนุนพรรคก้าวไกลที่ชนะเลือกตั้งอันดับ 1 เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า ถึงเวลาพรรคการเมืองนักการเมือง จะช่วยกันหาทางออกให้ประเทศแล้ว
เมื่อพรรคการเมืองรวมเสียงได้เกินครึ่งของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ปกติก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียกร้องให้พรรคการเมืองอื่นๆ ลงมติสนับสนุนพรรคที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ยิ่งการเรียกร้องให้พรรคการเมืองที่ไม่ได้ร่วมรัฐบาลลงมติสนับสนุนการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีก็ยิ่งเป็นเรื่องแปลก
แต่ที่ต้องเรียกร้องกันอยู่ก็เพราะเราอยู่ในระบบที่ไม่ปกติคือไม่เป็นประชาธิปไตย ที่ให้ ส.ว.ร่วมลงมติเลือกนายกฯได้ด้วย
หลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ในการเลือกนายกรัฐมนตรี ส.ว. 250 คนพร้อมใจกันเลือก พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เพราะรัฐธรรมนูญถูกออกแบบมาให้มี ส.ว.ไว้ช่วยในการสืบทอดอำนาจของพลเอกประยุทธ์โดยเฉพาะ
มาคราวนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปมาก พล.อ.ประยุทธ์มาเดินหาเสียงเหมือนนักการเมืองคนอื่นอย่างเต็มตัว และผลการเลือกตั้งออกมาก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯอีกแล้ว อีกทั้งคะแนนของพรรคร่วมรัฐบาลก็น้อยกว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านอย่างมาก ส.ว.ทั้งหลายจึงไม่มีเหตุผลความจำเป็นใดๆ ที่จะสนับสนุนพลเอกประยุทธ์อีกต่อไป
แต่ดูเหมือน ส.ว.ส่วนใหญ่ จะเลือกใช้วิธีการงดออกเสียงในการเลือกนายกฯ ซึ่งจะทำให้การเลือกนายกฯเกิดผลสำเร็จได้ยากเนื่องจากต้องการเสียง ส.ส.มากถึง 376 คนขึ้นไป
ดังนั้น หากจะให้เกิดรัฐบาลใหม่ขึ้นได้จึงต้องอาศัยเสียงจาก ส.ส.มากกว่า 309 เสียงซึ่งหมายถึงต้องอาศัยเสียง ส.ส.จากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมด้วย และหากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมไม่สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลที่พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำอยู่ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสถานการณ์เป็น 2 แบบคือ
1.พรรคร่วมรัฐบาลเดิมย้อนกลับไปตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่อาศัยเสียง ส.ว. 250 คนให้การสนับสนุน ซึ่งจะเป็นรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรม ขัดต่อเจตจำนงของประชาชนและไม่มีเสถียรภาพอย่างยิ่ง บริหารประเทศไม่ได้และจะมีอายุสั้นมาก
2.ไม่มีใครจัดตั้งรัฐบาลได้และรัฐบาลรักษาการก็ทำหน้าที่ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่า ส.ว.จะหมดอำนาจในการเลือกนายกฯ รัฐบาลที่ไม่มีใครเชื่อถือที่จะดันทุรังกันต่อไปจะไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้และยังจะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองเลวร้ายลงไปอีก
สถานการณ์ทั้งสองแบบนี้จะทำให้ประเทศไทยจมดิ่งลงไปในวิกฤตที่ร้ายแรงมากยิ่งขึ้น เกิดความเสียหายต่อทุกฝ่ายทุกคนในประเทศนี้
มีการพูดอยู่เสมอว่าถ้านักการเมือง พรรคการเมืองพร้อมใจกันไม่ร่วมมือกับเผด็จการ บ้านเมืองคงดีกว่านี้ แต่นักการเมืองและพรรคการเมืองของไทยเราก็ไม่เคยรวมกันติด
มาคราวนี้ผู้ที่ทำรัฐประหารมาก็เสื่อมถอยลงไปมาก ถูกประชาชนตัดสินไปแล้วว่าประชาชนไทยไม่ต้องการให้พวกเขาอยู่ในอำนาจต่อไป เพียงแต่กฎกติกาที่พวกเขาสร้างไว้ยังเป็นอุปสรรคในการที่จะตั้งรัฐบาลให้เป็นไปตามฉันทามติของประชาชน
ในสถานการณ์เช่นนี้ เพื่อจะหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการตั้งรัฐบาลไม่ได้ จึงมีความจำเป็นที่นักการเมืองทั้งหลายจะช่วยกันหาทางออกให้แก่บ้านเมืองด้วยการสนับสนุนพรรคการเมืองที่รวบรวมเสียงได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ต่อไป
เห็นแก่บ้านเมือง เห็นแก่ประชาชนเถอะครับ ตั้งรัฐบาลแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็ทำหน้าที่กันต่อไป ถึงเวลาต้องแข่งขันกันอีก ก็ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่ให้ระบบที่เผด็จการวางไว้มาตัดสินและทำให้บ้านเมืองเสียหายย่อยยับอย่างที่ผ่านมา
อ่านข่าวน่าสนใจ
- กางไทม์ไลน์ พิธาเป็นนายกฯ จับตาจุดสะดุด
- ต่าย ชุติมา เคลียร์ชัดสัมพันธ์ ทิม พิธา การเป็นสตรีหมายเลข 1 และมีคนขอแต่งงานแล้ว
- 09.00 INDEX มาตรฐาน บรรทัดฐาน ก้าวไกล กรณี ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์
- ‘กบ สุวนันท์’ โพสต์ยินดี ว่าที่ ส.ส. ‘บรู๊ค ดนุพร’ ขอให้ทำงานสมกับที่ได้รับคะแนนเสียงจาก ปชช.
- คำต่อคำ ส.ว.กิตติศักดิ์ ถามศิธา ‘เป็นเหี้ยได้ไหม?’ กลางรายการสรยุทธ เจอตอบกลับแซ่บ
- โทนี่ ชี้มือการตลาดก้าวไกล ต้องเป็นเอเจนซี่ชั้นนำ แนะนางแบก-ด้อมส้ม ช่วยกันเชียร์งาน