ผู้เขียน | ทีมข่าวเฉพาะกิจ |
---|
กลั่นวาทะ13ปี‘เมษา-พฤษภา53’ ความเป็นธรรมที่ต้องทวง พอกันที‘พ้นผิด-ลอยนวล’
19 พฤษภาคม 2566
ครบรอบ 13 ปี เหตุการณ์ ‘เมษา-พฤษภา 53’
โศกนาฏกรรมล้อมปราบประชาชน
งานรำลึก ยังคงจัดขึ้นเฉกเช่นที่เป็นมา ทว่า ปีนี้แตกต่างออกไป เมื่อเป็นห้วงเวลาหลังการเลือกตั้งที่คนไทยเทใจให้ฟากฝั่งประชาธิปไตยอย่างถล่มทลาย
ห้วงเวลาที่พรรคการเมือง (เคย) ใหม่ อย่าง ‘ก้าวไกล’ กำลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่ให้ได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ภาคเช้า ญาติเหยื่อรวมตัวทำบุญอุทิศส่วนกุศล ณ วัดปทุมวนารามฯจุดเกิดเหตุใจกลางกรุง ก่อนตั้งแถวอ่านแถลงการณ์อันเต็มไปด้วยความหวัง โดยมีตัวแทนพรรคการเมือง นักวิชาการ และผู้รักในประชาธิปไตยร่วมด้วย
ภาคค่ำ เวทีเบิ้มถูกตั้งขึ้นกลางแยกราชประสงค์ อดีตแกนนำคนสำคัญของ นปช. ผลัดกันขึ้นปราศรัยบอกเล่าความคืบหน้าการทวงคืนความเป็นธรรม อีกทั้งประกาศข้อเสนอต่อรัฐบาลใหม่ที่ประชาชนเข้าคูหา กากบาทเลือกมาด้วยตนเอง
จากนี้ คือถ้อยคำของบุคคลต่างๆ ในวันสำคัญบนประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ทำความจริงให้ปรากฏ ลงนาม ICC
ปักหมุด 19 พฤษภาฯ วันยุติพ้นผิดลอยนวลแห่งชาติ
วันนี้ วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พุทธศักราช 2566 นับเป็นเวลา 13 ปีแล้วที่เหตุการณ์การสลายการชุมนุมจากการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินอันผิดพลาดได้แปรเปลี่ยนเป็นการสังหารหมู่ประชาชนในเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม 2553
เหตุการณ์ดังกล่าว มีการสังหารประชาชนอย่างโหดเหี้ยมและต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 1 เดือน 9 วัน มีผู้เสียชีวิต 94 ราย บาดเจ็บอย่างน้อย 1,283 คน ทั้งพลเรือนและทหาร ไม่นับทรัพย์สินเอกสารที่เสียหายไปเป็นจำนวนมาก
เหตุการณ์สังหารหมู่นี้เป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งของความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ความตายในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 การล้อมปราบนักศึกษาและประชาชน 6 ตุลาฯ 2519 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 กรณี 3 จังหวัดชายแดนใต้ ตั้งแต่เหตุการณ์สังหารหมู่ที่มัสยิดกรือเซะ และจุดอื่นๆ
เหตุการณ์จับกุม จนนำไปสู่การเสียชีวิตของประชาชนจำนวนมากในกรณีตากใบ เมื่อปี 2547 ตลอดจนเหตุการณ์ประชาชนที่ถูกซ้อมทรมานและเสียชีวิตในค่ายทหาร รวมถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ประชาชนในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ก็ไม่เคยปรากฏความผิดของของผู้กระทำในกระบวนการยุติธรรมไทยเลย
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีองค์กรที่เข้ามามีบทบาทอุปถัมภ์การพ้นผิดลอยนวลของอำนาจรัฐเพิ่มมากขึ้น
…
เราจะเห็นตั้งแต่ความขัดแย้งหลังรัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา จนคำว่า สองมาตรฐาน กลายเป็นคำที่เข้าใจกันดีของสังคมไทย
พวกเรา ญาติผู้ได้รับความสูญเสียจากเหตุการณ์ทางการเมืองปี 2553 มีความเห็นต่อกระบวนการและความจำเป็นในการยุติวัฒนธรรมพ้นผิดลอยนวล และขอเรียกร้องต่อรัฐบาลประชาธิปไตยด้วยการทำความจริงให้ปรากฏ ช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบที่ถูกละเลย นำผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
รื้อฟื้นคดีก่อนหน้า ที่องค์กรอิสระและศาลได้ตัดสินไปแล้ว แต่สังคมยังกังขาขึ้นมาพิจารณาใหม่ มีมาตรการที่ทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์ที่กระทำความรุนแรงกับประชาชนเกิดขึ้นอีกในอนาคต
เร่งสะสางและนิรโทษกรรมจากคดีทางการเมืองตั้งแต่ปี 2549 ลงนามให้สัตยาบันรับรองเขตอำนาจศาลาอาญาระหว่างประเทศ นำกองทัพออกไปจากการเมืองตลอดกาล
เราขอยืนยันว่าหากปล่อยให้องค์กร บุคคลเหล่านั้น พ้นผิดลอยนวลต่อไป สังคมย่อมมีข้อกังขา และไม่อาจสร้างความยุติธรรมให้ปรากฏได้อย่างแท้จริง
กลับจะนำพาสังคมไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหม่ ลบลืมต้นเหตุของความขัดแย้งซึ่งพวกเราไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น
รัฐมักจะบอกประชาชนว่า เสรีภาพต้องมีขอบเขต ประชาชนก็อยากจะบอกรัฐเช่นกันว่า ต้องมีขอบเขตในการใช้อำนาจและรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจเช่นกัน
สุดท้ายนี้ เรา ญาติผู้ได้รับความสูญเสียจากเหตุการณ์ทางการเมืองปี 2553 ขอประกาศให้วันนี้ 19 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันยุติวัฒนธรรมพ้นผิดลอยนวลแห่งชาติ
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความเห็นของเราในฐานะผู้ได้รับความสูญเสียในเหตุการณ์ทางการเมืองจะเป็นประโยชน์ในการสร้างความยุติธรรมให้ปรากฏและยุติวัฒนธรรมพ้นผิดลอยนวลให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทย
แถลงการณ์ญาติผู้ได้รับความสูญเสียจากเหตุการณ์ทางการเมืองปี 2553
อ่านโดย พันธ์ศักดิ์ บิดา สมาพันธ์ ศรีเทพ หรือน้องเฌอ ร่วมด้วย พะเยาว์ มารดา กมนเกด อัคฮาด หรือน้องเกด
เยียวยาบาดแผล แก้ขัดแย้ง
คืนความยุติธรรม วาระหลัก ‘รัฐบาลใหม่’
วาระหลักสำคัญของรัฐบาลชุดใหม่ คือ การแก้ไข ยุติปัญหาความขัดแย้ง และบาดแผลของสังคมไทยที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ปี 2549 ถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งการคืนความยุติธรรมในกรณีการสลายการชุมนุมในระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 นี่ก็จะเป็นเรื่องสำคัญประเด็นหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม หากถามว่าก้าวไกลจะทำการรื้อคดีตั้งแต่ปี 2549-2553 ใช่หรือไม่ ขอ อย่าเรียกว่าการรื้อคดี เพราะมันมีรายละเอียดต้องแยกย่อย ที่สำคัญคือกระบวนการยุติธรรมซึ่งอยู่ในมือของดีเอสไอ ในฐานะที่เป็นคดีพิเศษ มันถูกแช่แข็งไว้ หยุดนิ่งไปตั้งแต่หลังการรัฐประหารปี 2557 เป็นต้นมา ดังนั้นสิ่งนี้ต้องเป็นประเด็นแรกๆ ที่ต้องผลักดันให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าต่อ เพราะขณะนี้เฉพาะคดีผู้เสียชีวิตในระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 มีการไต่สวนการเสียชีวิตไปแล้วเพียง 33 ศพ กระบวนการยังค้างอยู่ในดีเอสไอและอัยการ ยังไม่ได้เข้าสู่ชั้นศาล ส่วนที่เข้าสู่ชั้นศาลเป็นแค่กระบวนการการไต่สวนการตายเท่านั้น ยังมีอีก 62 ศพ ที่ยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการไต่สวนการตาย ดังนั้นเรื่องนี้ต้องเป็นลำดับแรกๆ ที่จะต้องเดินหน้าต่อ เพื่อคืนความปกติให้กับกระบวนการยุติธรรม ให้กระบวนการยุติธรรมภายในประเทศทำงานได้อย่างเต็มที่ ซึ่งนี่เป็นแค่ส่วนหนึ่ง
ถ้าเราอยากจะให้รัฐบาลและสังคมไทยมีสมาธิที่จะนำพาประเทศไปสู่อนาคต ก็ต้องทำให้มีสมาธิ ยุติความขัดแย้ง แล้วก็บาดแผลทางการเมืองระหว่างฝ่ายต่างๆ ให้ได้ด้วย ไม่อย่างนั้นก็เดินหน้าไม่ได้ อันนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เรายังไม่ได้พูดถึงคดีการเมืองในปัจจุบัน คดีการเมืองในอดีตด้วย ซึ่งอันนี้ทางพรรคก้าวไกลก็เป็นวาระสำคัญที่เรานำไปพูดคุยกับพรรคการเมืองต่างๆ ที่เรากำลังดำเนินจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันอยู่ ซึ่งไม่ยากเกินไปถ้ามีความตั้งใจ จริงๆ ข้อเสนอในการคืนความยุติธรรม มันไม่ได้ไม่เคยเกิด ตั้งแต่สมัย คอป. (คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ) ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ตั้ง ก็มีข้อเสนอหลายเรื่องเกี่ยวกับการยุติความขัดแย้ง การคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน แล้วล่าสุด คือ คณะกรรมการสมานฉันท์ที่อดีตประธานสภา ชวน หลีกภัย ตั้งขึ้นมาเมื่อรัฐสภาสมัยที่แล้ว ก็ได้ทำรายงานเสร็จแล้ว แต่บังเอิญเสร็จช้าไปหน่อย เสร็จตอนเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้เอง เลยยังไม่ได้ถูกหยิบยกเข้าสู่การพิจารณาของสภา
ผมคิดว่าถ้าเราสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างที่ตั้งใจ รายงานของคณะกรรมการสมานฉันท์ซึ่งมีความเป็นกลางจะถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาในสภา ซึ่งก็จะมีข้อเสนอหลายอย่างที่จะสอดคล้องกันอยู่แล้วกับข้อเสนอของพรรคก้าวไกลและพรรคร่วมรัฐบาลที่ต้องการยุติความขัดแย้งทางการเมือง
ส่วนในประเด็นเรื่องการพูดถึงเรื่อง การนิรโทษกรรม และ ICC มีการพูดถึงในข้อตกลง MOU ด้วยหรือไม่ ตอนนี้กำลังเริ่มกระบวนการพูดคุยกัน เพื่อทำ MOU รายละเอียดจึงยังไม่ยุติ คงต้องรอฟังข้อสรุปทีเดียว แต่ถือเป็นประเด็นสำคัญอยู่และเป็นหนึ่งในข้อเสนอที่หลายฝ่ายเสนอว่าจะเป็นมาตรการนำไปสู่การคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชนและยุติความขัดแย้งอันจะมีในอนาคตได้
ชัยธวัช ตุลาธน
เลขาธิการพรรคก้าวไกล
เชื่อมั่นรัฐบาลประชาธิปไตย
8 ข้อเสนอจากอดีตแกนนำ นปช.
เวลาล่วงเลยมาจากปี’53-66 13 ปีมาแล้ว เหลืออายุความในการเอาคนผิดมาลงโทษอีก 7 ปี
ประวัติศาสตร์การเมืองไทยปราบปรามประชาชนตั้งแต่ปี 2516, 2519, 2535 และ 2552, 2553 นี่เป็นช่วงเวลายกระดับปราบปรามประชาชน เราต้องการให้เป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้น จึงเป็นภารกิจของเราที่จำเป็นต้องสืบทอดเจตนารมณ์ที่ยังทำไม่สำเร็จ คือทวงความยุติธรรมปี’53 ไม่ให้ตายกลางถนนแบบนี้อีกต่อไป
เราไม่อยากให้มีแต่พิธีสงฆ์แล้วกล่าวรำลึก เมื่อเหตุการณ์ผ่านมาพอสมควร มีการเลือกตั้ง แม้การขับเคลื่อนของ นปช.ไม่ได้ดำรงอยู่ก็ตาม แต่คนเสื้อแดงยังอยู่และต้องการทวงความยุติธรรม ต้องการต่อสู้เช่นเดิม เราจึงจำเป็นต้องมีหน่วยทำงาน ทำมาตั้งแต่ปี’65 ร่วมปีแล้ว เพื่อทำให้เกิดรายละเอียดว่าผู้ที่ตายทั้งหมดมีการไต่สวน ชันสูตรพลิกศพไปกี่ศพ
เราต้องการเอาคนผิดมาลงโทษ เขาไม่จำเป็นต้องได้รับนิรโทษกรรม ป.ป.ช.บอกว่าเขาทำตามหน้าที่ แปลว่านักการเมือง 2 คนที่ต้องรับผิดชอบก็ลอยนวลพ้นผิด เราจึงรวบรวมปัญหา มีข้อเสนอ 8 ข้อสำหรับรัฐบาล เรารู้อยู่แล้วว่ารัฐบาลประชาธิปไตยต้องเกิดขึ้นแน่นอน จึงเตรียมไว้ก่อน จะได้ทำงานทันที
3 ข้อแรกที่เรียกร้อง คือ
1.เราต้องการให้มีกรรมการตรวจสอบ ดูแล ฟื้นคดีกรณีปี 2553 ที่ถูกแช่แข็ง
2.แก้ไขกฎหมาย เพราะนักการเมืองถูกผลักให้ไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งโทษต่างจากคดีพลเรือนมากมาย
3.ขอให้รับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เฉพาะกรณีปี’53
ส่วน 5 ข้อหลังเป็นการเรียกร้องให้ประเทศนี้ได้อำนาจประชาชนคืนมา เราเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบเดียวกับที่ นปช.
เคยเสนอ คือประชาชนเป็นเจ้าของรัฐธรรมนูญ ตั้ง ส.ส.ร.มาร่างเรายืนยันเหมือนเดิม ลบล้างผลพวงการทำรัฐประหาร เขียนรัฐธรรมนูญประชาชน
ม.112 ต้องมีการแก้ไข การลบล้างผลพวงรัฐประหารไม่ใช่เฉพาะในยุค คสช. ขอให้ถอยหลังไปด้วย มีกฎหมายหลายฉบับสมควรได้รับการแก้ไข เราทวงความยุติธรรมในอดีตเพื่อคนปัจจุบันและอนาคต
ประการที่ 2 เราต้องการให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ฝากไปยังรัฐบาลใหม่ เรื่อง MOU ด้วย ปฏิรูปกฎหมาย ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ลบล้างผลพวงรัฐประหาร
ถ้าบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย อย่าหวังความยุติธรรมจะเกิดขึ้น ผู้มีอำนาจใช้ปืนกดหัวประชาชนมานานหลายปี มาบัดนี้ผลเลือกตั้งถือเป็นการต่อสู้ของประชาชน ที่ฝ่ายประชาธิปไตยได้เป็นรัฐบาลแน่นอน เราอยากรู้ว่า ส.ว.จะท้าทายอำนาจประชาชน เป็นปฏิปักษ์กับประชาชนไปถึงไหน คนเสื้อแดงอดทนมานานมากแล้ว 17 ปีแล้ว
เราขอส่งสาร ส.ส.เป็นหน้าที่ของคุณ ส่วน ส.ว.ได้รับผลประโยชน์มานานแล้ว เราหวังว่าก่อนสิ้นสุด ถ้าไม่อยากอายไปจนชั่วลูกหลานก็ขอให้ปฏิบัติการครั้งสุดท้าย สนับสนุนรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยให้ก้าวไกล เพื่อไทย ผ่านด่าน ส.ว.ให้ได้ ไม่เช่นนั้นประชาชนน่าจะขาดความอดทน
สำหรับกรณี ICC ก็สามารถทำได้ทันที จะเพิ่มเติมจากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว สุดท้ายคือออก พ.ร.บ.ให้ทหารและนักการเมืองที่ทำผิดกับประชาชนขึ้นศาลพลเรือนให้ได้ ขอให้เราทั้งหลายโปรดให้กำลังใจรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้
ธิดา ถาวรเศรษฐ
อดีตแกนนำ นปช.
รวมเสียง ส.ส. แก้กฎหมายผ่านกลไกสภา
เจ้าหน้าที่ทำผิด ประชาชนฟ้องตรงได้ทันที
กำลังจะผลักดันโดยใช้กลไกสภาหลังจากนี้ผ่าน ส.ส.พรรคเพื่อไทยให้มีการแก้ไข พ.ร.ป.ป.ป.ช.ให้ผู้เสียหายในคดีที่ ป.ป.ช.ปัดตก สามารถฟ้องคดีโดยตรงต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯได้
เตรียมการเอาไว้อยู่พร้อมกับประสานงาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย 30 คน คิดว่าน่าจะคืบหน้าไปได้ด้วยดี เพราะสอดคล้องกับแนวนโยบายของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง 6 เดือนแรกในการปฏิบัติหน้าที่ของสภาและรัฐบาลชุดนี้ กฎหมายนี้ก็น่าจะมีผลบังคับใช้ นั่นทำให้ผู้เสียหาย ซึ่งหมายถึงญาติ ทายาทผู้เสียชีวิต สามารถที่จะยื่นฟ้องร้องผู้ต้องหาโดยตรงต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ทันที
การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้จะเป็นหลักประกันความปลอดภัยให้กับประชาชน ตลอดจนคนหนุ่มสาว ที่กำลังยืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่ในปัจจุบัน โดยสาระสำคัญประการที่ 1 ในกรณีคดีความที่ผู้มีอำนาจทางการเมืองหรือบุคคลใดในกลไกรัฐถูกกล่าวหาว่า มีการกระทำผิด มีการยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. ถ้า ป.ป.ช.ไม่นับให้ผู้เสียหายซึ่งผู้เสียหายตามกฎหมายนี้คือผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้ผู้เสียหายมีสิทธิ ฟ้องศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยตรงได้เลย ในกรณีที่ยื่นไปแล้ว ป.ป.ช.รับเรื่องไว้พิจารณา แล้วยื่นคำร้องว่าไม่มีมูล ซึ่งเป็นคดีที่ตกไป เหมือนคดีของพี่น้องที่เสียชีวิตที่เจออยู่เวลานี้ จะมีการแก้เนื้อหาในมาตรา 38 ความว่า ถ้า ป.ป.ช.ยกคำร้องให้ผู้เสียหายยื่นร้องต่ออัยการสูงสุดและให้อัยการสูงสุดแจ้ง ป.ป.ช. นำเอกสารข้อมูลทั้งหมดที่ยื่นไปส่งมายังอัยการสูงสุดโดยเร็วในเวลาไม่เกิน 30 วัน และให้อัยการสูงสุดพิจารณา
หากอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้องก็ฟ้อง หากอัยการสูงสุดไม่สั่งฟ้อง ผู้เสียหาย มีสิทธิที่จะยื่นฟ้องต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเช่นเดียวกัน และหากเป็นกรณีความผิดที่มีผู้เกี่ยวข้องทั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทหาร หรืออื่นๆ ให้ผู้เสียหาย สามารถฟ้องได้คราวเดียวในศาลเดียวกัน ยกตัวอย่าง หลายคดีที่เข้าสู่ ป.ป.ช.และไปศาลฎีกานักการเมือง มีการฟ้องทั้งรัฐมนตรี ข้าราชการ ฟ้องไปถึงเอกชนที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น เมื่อร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญมีเนื้อความอย่างนี้ผู้เสียหายย่อมมีสิทธิในการฟ้องโดยตรงเป็นพวงเดียว เนื้อหาโดยสรุปเป็นแบบนี้
ในระหว่างที่รอสภาปฏิบัติหน้าที่ ถ้ามีผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญท่านใด มีข้อสังเกต ผมจะรีบไปพบท่านเอาความรู้มาเอามาปรับปรุงแก้ไขให้รอบคอบมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นจะไปประสานงานกับรัฐบาลรุ่นใหม่เข้าวาระ 100 วัน เข้าดำเนินการทันทีและให้คณะรัฐมนตรีเสนอร่างทิศทางเดียวกัน ถ้ากระบวนการดังกล่าวดำเนินการทันทีในกรอบ 100 วันก็คาดหวังว่ากฎหมายจะบังคับใช้ภายใน 6 เดือน และเราจะเห็นคดีนี้ขึ้นสู่ศาล โดยประชาชนที่เป็นผู้เสียหาย
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
อดีตแกนนำ นปช.
ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย
ทีมข่าวเฉพาะกิจ