ย้อนอ่าน คำต่อคำ นาที ‘ยึดอำนาจ’ จากปาก ชัยเกษม นิติสิริ เวอร์ชั่นที่ ‘ไม่ใช่นิยาย’

22 พฤษภาคม 2566 พรรคก้าวไกล ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และพรรคร่วมเตรียมเปิดรายละเอียดเอ็มโอยูวันนี้ 16.30 น.

ช่วงเวลาเดียวกับการทำรัฐประหารโดย คสช. เมื่อ 9 ปีก่อน

“อย่ามาคิดสู้ผม ผมเตรียมการมา 3 ปีแล้ว”

คือถ้อยคำที่ นักการเมืองอาวุโสอย่าง วันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชาติ อ้างว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวเมื่อ 22 พ.ค.2557 ณ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งมีการเรียกกลุ่มต่างๆ ร่วมประชุม

Advertisement

คำถามสำคัญก็คือ หากเป็นเช่นนั้นจริง แสดงว่ามีความคิดนี้ตั้งแต่ปี 2554-2555 ยังไม่เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งด้วยซ้ำ กระทั่งบิ๊กตู่ออกมาปฏิเสธว่า ไม่เคยพูด

ด้าน ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เคยโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ไม่ต้องเถียงกัน ตนอยู่ในเหตุการณ์ ยืนยันพลเอกประยุทธ์พูดเช่นนั้นจริงๆ แต่ที่ถูกกล่าวขวัญกันมากคือบันทึกละเอียดยิบของ สมชัย ศรีสุทธิยากร  ซึ่งบอกเล่าอย่างมีสีสัน ถึงขนาดใครนั่งท่าไหน สุ้มเสียงอย่างไรก็เขียนไว้อย่างไม่ตกหล่น แต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ดูเหมือนยังมี “หลายเวอร์ชั่น” และหากเปรียบเหตุการณ์เป็นนิยายสักเรื่อง ชัยเกษม นิติสิริ ตัวแทนรัฐบาลในวันนั้นคือตัวละครสำคัญยิ่ง ทั้งถูกพาดพิงบ่อยครั้ง รวมถึงวาทะ “นาทีนี้ผมไม่ลาออก” ซึ่งถูกอ้างว่าเป็นคำพูดจากปากเจ้าตัว และจดจำตามๆ กันมา

ชัยเกษม นิติสิริ 1 ใน 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย เคยให้สัมภาษณ์ หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 10 สิงหาคม 2562 ถึงเหตุการณ์ในวันนั้นในมุมมองและรายละเอียดที่อาจสอดคล้อง คล้ายคลึง หรือแตกต่างไปจากที่เคยรับรู้

Advertisement

ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ดังกล่าว มีดังนี้

ได้อ่านโพสต์ของคุณสมชัย ศรีสุทธิยากร ที่เล่าเหตุการณ์ในห้องประชุมวันรัฐประหารหรือยัง?

เคยอ่านนานแล้ว จำได้ว่าดราม่าเหลือเกิน (หัวเราะ) อย่างกะนิยาย ท่านเขียนหนังสือขายไง ผมนึกไม่ออกเลยนะว่าอาจารย์สมชัยอยู่ในนั้นด้วย แต่ต้องอยู่นั่นแหละ เพราะตอนนั้นเขาเชิญมาทั้งหมด 7-8 หน่วย ที่สำคัญคือ กปปส.กับ นปช. ซึ่งวันนั้นเขาแยกกันออกไปคุยกันข้างนอกก่อน รู้สึกจะเป็นท่านสุเทพ เทือกสุบรรณ และตู่ จตุพร พรหมพันธุ์ พอกลับเข้ามาก็ยังยืนคุยกัน แล้วยังตกลงกันไม่ได้อีก เลยมีคำถามว่าตกลงจะลาออกไหม

คำตอบที่ว่า ไม่ลาออก มีประโยคที่ถูกนำไป “โควต” หลายเวอร์ชั่นมาก เช่น นาทีนี้ไม่ลาออก, คงไม่ลาออกหรอกครับ และนาทีนี้ก็ยังคงไม่ลาออกหรอกครับ สรุปแล้ววันนี้พูดว่าอะไร?

คำว่า “นาทีนี้” มันไม่ใช่อะไรที่ผมจะพูด ไม่ใช่สำนวนผมหรอก เห็นข่าวตั้งแต่แรกๆ แล้ว ประโยคแบบนี้ไม่ใช่วิธีที่ผมจะพูด แต่ นสพ.ไปลงว่าผมพูด วันนั้นเป็นเรื่องของการหาทางออกต่างๆ เขาก็อยากให้เราลาออก แต่พอถึงไคลแมกซ์ ผมก็ปฏิเสธเท่านั้นเองว่าลาออกไม่ได้ เพราะกฎหมายบังคับอยู่ว่าต้องรักษาการจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่

อยากให้ช่วยขยายความประเด็นกฎหมายเพิ่มเติม?

ผมหยิบรัฐธรรมนูญเล่มเก่ามาด้วย (เปิดอ่าน) มาตรา 180 คณะรัฐมนตรีจะพ้นจากตำแหน่งก็เมื่อ 1.ความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ สิ้นสุดลง อันนี้ไม่เกี่ยว 2.อายุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง หรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร เพราะในเคสตอนนั้นคือมีการยุบสภา พอยุบสภาปั๊บ รัฐมนตรีทั้งคณะก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง 3.คณะรัฐมนตรีลาออก ซึ่งอันนี้คุณประยุทธ์ก็บีบบังคับพยายามจะให้ลาออก แต่ผมบอกลาออกไม่ได้เนื่องจากเมื่อมันสิ้นสุดลงเพราะยุบสภาแล้ว ก็ต้องเป็นไปตามมาตรา 181 คือรัฐมนตรีที่พ้นตำแหน่งต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นมาใหม่จะเข้ารับหน้าที่ แต่ในกรณีที่พ้นจากตำแหน่งตาม 180 (2) คือกรณีนี้ เป็นการพ้นเนื่องจากยุบสภา คณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะปฏิบัติหน้าที่ได้เท่าที่จำเป็นภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ ซึ่งก็ใช้อยู่ในตอนนั้น เช่น เรื่องแต่งตั้ง เรื่องการใช้จ่ายงบประมาณ เรื่องการอนุมัติโครงการที่ผูกพัน ครม.ชุดต่อไป อะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้น สถานการณ์ตอนนั้นคือไม่สามารถลาออกได้ มันจะกลายเป็นออกซ้อนออก

แม้จะยืนยันว่าลาออกไม่ได้เพราะมีปัญหาด้านกฎหมาย แต่มีช็อตที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยืนยันจะให้ลาออก ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกเอามาพูดต่อกันมาก?

ไม่รู้ ตรงนี้จำไม่ได้ ไม่น่าจะมีสาระ

เหตุการณ์ตอนนั้นมีการ “ต่อรอง” อะไรไหม?

ผมคิดว่าผมต่อรองถึงขนาดว่า ถ้าจะให้ ครม.ชุดเก่าลาพักร้อนทุกคนเพื่อให้ไม่สามารถมาปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็ยังสามารถทำได้ แต่มาบีบว่าต้องออกๆ มันทำไม่ได้หรอกครับ พอบอกว่าลาออกไม่ได้ เขาก็บอกงั้นขอยึดอำนาจตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป เข้าใจว่าคำ “นาทีนี้” มาจากตรงนั้น แต่ผมก็จำไม่ค่อยได้ มันหลายปีแล้ว

คุณสมชัยบันทึกไว้อย่างละเอียดด้วยว่า นายชัยเกษม นิติสิริ ตัวแทนรัฐบาล ตอบอย่าง “เหยาะแหยะ” จะแก้ต่างให้ตัวเองไหม?

มีเหยาะแหยะด้วยเหรอ (หัวเราะ) ผมถึงบอกว่าอ่านแล้วดราม่า ไม่มีหรอกฮะ นิสัยผมไม่มีอยู่แล้วที่จะมาเหยาะแหยะ ไม่มีอะไรต้องเหยาะแหยะ

ด้วยบรรยากาศวันนั้น คิดไหมว่าอาจมีเหตุ เชื่อไหม ในคำบอกเล่าเวอร์ชั่นที่ว่า ตัดสินใจวันนั้นเลย?

ผมก็รู้สึกว่าต้องมีอะไรสักอย่างแน่นอน เพราะโดยลักษณะของการดำเนินการไม่เหมือนทุกครั้งคือ 1.สื่อถูกกันออกไปไกล ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ แบบทุกครั้ง 2.เก็บโทรศัพท์มือถือหมด ดูแล้วไม่ค่อยปกติ 3.ตำรวจทหารแต่งเครื่องแบบเต็มที่เหมือนพวกที่จะไปอยู่ภาคใต้ ก็คิดว่าสงสัยจะไปไม่รอดแล้ว (หัวเราะ)

ถ้าถามว่าผมรู้ว่าจะมีการปฏิวัติไหม ต้องบอกว่าก่อนหน้านั้นมีเพื่อนนักธุรกิจของผมอย่างน้อย 2 คน บอกว่าเขาทำแน่ เพราะไปได้ข่าวมา คนหนึ่งชวนผมว่าจะไปอยู่ลาวไหม ผมบอกไม่เอาหรอก เป็นอย่างไรก็เป็นกัน อีกคนถามว่าจะไปอยู่เขมรไหม มีปฏิวัติแน่นอน ผมบอกอยู่กับการเมือง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เราต้องรับสภาพมันได้ ถ้าผมเชื่อเขา ป่านนี้อาจยังไม่ได้กลับ แต่ละคนที่ไปตอนนั้นได้กลับที่ไหน กลับมาก็กลัวมีปัญหา

ถึงจะรู้ล่วงหน้าและเตรียมใจไว้แล้ว แต่พอฟังจากปากพลเอกประยุทธ์ สิ่งที่คิดอย่างแรกในนาทีนั้นคืออะไร?

คือไม่ต้องคิดอะไร จะทำอะไรได้ล่ะ เขาก็บอกอยู่แล้วว่ายึดอำนาจ ตอนนั้นเข้าใจว่าบ่ายสองโมง เขาให้อยู่กับที่ ไม่ให้ไปไหน พักเดียวก็มีทหารมาคุมตัว แต่ผมเปลี่ยนที่นั่งจากฐานะผู้แทนเพื่อไทยไปคุยกับพรรคที่อยู่ห่างออกไปนิดหนึ่ง พอคุมพวกเพื่อไทยไปแล้วพักหนึ่งก็วิ่งกลับขึ้นมาถามว่าคนไหนชื่อชัยเกษม เพราะคุมไปไม่ครบ (หัวเราะ)

เห็นว่าถูกคลุมศีรษะ มัดมือเหมือนในหนังฝรั่ง?

คืออย่างนี้ ตอนที่ถูกคุมไปนั่งรถตู้ คันผมมี 3 คน แต่ทหารคุมไป 6-7 คน แต่งตัวแบบออกรบ มีทั้งปืนยาว ปืนสั้น เขาใช้พลาสติกแบบรูดๆ มัดนิ้วหัวแม่โป้ง 2 ข้างของผมไว้ด้วยกัน ตอนแรกจะมัดข้อมือด้วย แต่มีทหารคนหนึ่งคงเป็นผู้บังคับบัญชาบอกว่าไม่ต้องแล้ว พอแล้ว เลยมัดแค่นิ้วและไม่มัดเท้า ผมเองยังพูดว่าไม่ต้องมัดมง มัดมืออะไรหรอก คุณก็อาวุธครบมือ ผมจะไปสู้อะไรได้ พอถึงทางแยกเห็นป้ายปราจีน-นครนายก ก็เอาหมวกไหมพรมสีดำคลุมหัว เพื่อไม่ให้เราเห็นว่าจะไปไหน ทุกคนถูกทำเหมือนกันหมด กระทั่งถึงนู้น ซึ่งตอนแรกไม่รู้ว่าที่ไหน เมื่อพาขึ้นไปชั้น 2 ถึงรู้ว่าเป็นบ้านพักรับรอง แต่คงไม่ได้ใช้นานแล้วเพราะค่อนข้างโทรม พื้นปาร์เกต์ชักจะลุ่ยแล้ว

ผ่านคืนแรกไปได้อย่างไร นอนหลับหรือเปล่า?

นอนไม่หลับเพราะหนาว และด้วยความไม่เคยชิน เขาให้เราเปลี่ยนชุด โดยเก็บของทุกอย่างไปหมดแม้แต่ปากกา นาฬิกงนาฬิกา กระเป๋าสตางค์ แล้วเอารองเท้าแตะแบบคีบคู่หนึ่งมาให้ มีกางเกงในตัวหนึ่ง กางเกงขาสั้นตัวหนึ่ง เสื้อยืดตัวหนึ่ง เราแยกห้องกัน ที่นั่นมี 3 ห้องนอน มีแอร์ 2 ห้อง ไม่มี 1 ห้อง ห้องน้ำอยู่ข้างนอก ตอนแรกดีใจว่าได้นอนห้องแอร์และมีเตียงแบบบ้านพัก มันก็ดูดีนะ แต่โทษทีครับ ถ้านั่งแรงมันคงจะพัง (หัวเราะ) แอร์รุ่นเก่าปรับไม่ได้อีก หนาวมาก ผ้าห่มก็บางมาก วันแรกเขาเตรียมการไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าคือถอดผ้าม่านออกมาห่ม (หัวเราะ) จะให้ทำอย่างไร จะไปยุ่งอะไรกับเขามากก็ไม่ได้ โถงข้างบนมีทหารคุมตลอดเวลา ข้างล่างมีทหารถือปืนคุมตลอดเวลาเหมือนกัน มีรั้วลวดหนามกั้น ตอนแรกไม่รู้เลยว่าอยู่ที่ไหน เขาซีลกระจกทุกบาน ใช้กระดาษ นสพ.ปิดบ้าง บางบานใช้ผ้าปิด แต่วันรุ่งขึ้น พอสว่าง ด้วยความสอดรู้สอดเห็นก็ไปส่องตามช่อง เห็นทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ เลยทราบว่าเป็นปราจีนบุรี

ตอนนั้นกังวลว่าจะเกิดเหตุบานปลายเกินคาดเดาหรือเปล่า อาหารการกินเป็นอย่างไร มีเมนูในความทรงจำไหม?

วันแรกได้รับแจกข้าวกล่องในห้อง ไม่ได้จำว่าเมนูอะไร ไม่ได้สนใจ พอวันรุ่งขึ้นได้นั่งกินข้าวรวมกัน วันหนึ่งเช้าๆ ผมได้กินข้าวต้มกับน้ำพริกปลาทู มีที่ไหนกัน ชีวิตนี้ได้กินในค่ายทหาร พวกเรายังคุยกันเองเลยว่าสงสัยเหลืออะไรเมื่อวานเลยเอามาให้กิน (หัวเราะ) พออยู่ไปคุ้นๆ อะไรก็พอจะคุยกันได้ทั้งนั้น เช่น ขอ นสพ.อ่านเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เปิดทีวีให้ดูก็เห็นข่าวบ้าง อาบน้ำจากถังน้ำมัน 200 ลิตร แล้วมีขัน (หัวเราะ) พอสัก 2 วัน เขาให้ที่บ้านส่งเสื้อผ้ามาให้เขา แล้วเขาเอามาให้ มีหมอมาถามด้วยว่าต้องการยาอะไร เจ็บป่วยอะไรหรือเปล่า คงกลัวจะตายในที่ของเขา (หัวเราะ) ตอนนั้นผมมีปัญหาพวกไขมันนิดๆ หน่อยๆ แต่ไม่ถึงขนาดต้องกินยาประจำ ถามว่าเครียดไหม สำหรับผมเฉยๆ เพราะอยู่ในครอบครัวทหาร พ่อเป็นเจ้ากรมพระธรรมนูญ บ้านอยู่ในสวนฝั่งธน ด้วย ตอนเรียนจุฬาฯ ต้องไปค่ายชาวเขา อาบน้ำลำธาร ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว คนที่ดูแลเราก็ค่อนข้างเฟรนด์ลี่ ที่จริงคงมีคำสั่งให้คุมเข้ม แต่โดยสถานการณ์ไม่มีความจำเป็นต้องเข้ม

เคยทวง “คำขอโทษ” จากพลเอกประยุทธ์ ถึงตอนนี้ได้รับหรือยัง?

ตอนนั้นผมทวงคำขอโทษที่เขาให้ไปประชุมกันที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เกี่ยวกับเรื่องการปรองดอง มันเป็นเรื่องทางจิตใจ อย่างผมไปโดนในลักษณะอย่างนี้ ผมบอกต้องการคำขอโทษคำเดียว ถ้าขอโทษก็จบ ไม่มีอะไร ให้เลิกแล้วต่อกัน แต่ไม่มีการตอบ คงไม่มีใครกล้ารายงาน

คุณประยุทธ์เคยไปออกทีวีแล้วบอกว่ามีที่ไหนกันมัดมือ ปิดตา มีแต่ในหนังฝรั่ง พูดอย่างนี้ให้ได้ยินอย่างน้อย 2 ครั้ง ที่ว่าไม่มีๆ ผมโดนมาเองแล้วทั้งสิ้น จริงๆ แล้วไม่ได้รู้สึกว่าทุกข์ยากอะไรเพราะไม่ได้ถึงขนาดตะลุ้บตุ้บตั้บ แต่ผมคาใจที่ตัวบุคคลมากกว่า. (อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม คลิกที่นี่)

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image