จตุพร เชื่อ เดือนหน้ามียุบพรรค ถาม MOU เซ็นไปทำไม ผิดที่ผิดเวลา 8 พรรคสีหน้าอมทุกข์

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวผ่านเฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “แปลงร่าง?” โดยระบุถึงการแถลงการลงนามเอ็มโอยูของ 8 พรรคประกาศตั้งรัฐบาล ว่าสะท้อนถึงการที่พรรคก้าวไกลยอมถอยให้พรรคเพื่อไทย เพื่อหวังรอมชอมให้ตั้งรัฐบาลได้

“การลงนามเอ็มโอยู (MOU) ตั้งรัฐบาล 8 พรรคจำนวน 313 เสียงจากทั้งหมด 500 เสียงในสภาผู้แทนราษฎรว่า แม้ในเอ็มโอยูไม่บรรจุการแก้ไข ม.112 แต่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และว่าที่นายกฯ คนที่ 30 ชี้แจงให้เป็นเรื่องเฉพาะของพรรคการเมืองที่จะเสนอร่างกฎหมายแก้ไข ม.112 เข้าไปดำเนินการในสภากันเอง

อีกทั้ง เห็นว่า การแก้ไข ม.112 ไม่ได้เป็นข้อตกลงของพรรคร่วม แต่นายพิธา เป็นหัวหน้าพรรคและเมื่อพรรคก้าวไกลเสนอแก้ ม.112 เข้าสภาก็ต้องลงนามด้วย ขณะที่มีฐานะเป็นหัวหน้ารัฐบาลด้วย ดังนั้น รัฐบาลย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์ แล้วจะเป็นชนวนความขัดแย้งในพรรคร่วมและสาธารณะได้

ส่วนการนิรโทษกรรมโดยเว้นคดีทุจริตและคดีฆาตกรรม ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของพรรคก้าวไกลเสนอระหว่างหาเสียงเลือกตั้งจากประชาชน แต่ไม่ได้บรรจุในเอ็มโอยู นายจตุพร กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยที่หายไปจากเอ็มโอยู เนื่องจากพรรคเพื่อไทยค้าน เพราะหวั่นเกรงจะถูกครหาเอื้อประโยชน์ให้ทักษิณ ชินวัตร ได้กลับบ้าน จึงต้องถอนออกจากเอ็มโอยู” นายจตุพรกล่าว

Advertisement

นายจตุพรกล่าวว่า นี่เป็นเหตุผลที่รับฟังไม่ได้ แต่พรรคก้าวไกลกลับยอมแลกให้พรรคเพื่อไทย เพื่อจะได้ตั้งรัฐบาลสำเร็จ จึงเป็นการสะท้อนถึงความอยากในอำนาจ แต่สิ่งที่อยากเป็นรัฐบาลนั้นจะได้เป็นจริงหรือไม่ การตั้งรัฐบาล 8 พรรคยังไม่ได้เป็นเสียงข้างมากที่เป็นจริงตาม รธน. 2560 เพราะต้องนับรวมกับเสียง ส.ว.อีก 250 เสียงด้วย ดังนั้นเสียงข้างมากของรัฐสภาต้องได้เกิน 375 จาก 750 เสียงของการประชุมร่วมรัฐสภา แต่การร่วมตัว 8 พรรคประกาศตั้งรัฐบาลได้เพียง 313 เสียงเท่านั้น แม้จะเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ แต่ไม่ได้เป็นเสียงข้างมากของรัฐสภาที่จะต้องเลือกนายกฯ ซึ่งต้องใช้เสียงตั้งแต่ 376 เสียงขึ้นไป

“การลงนามเอ็มโอยูตั้งรัฐบาล เป็นการแสดงถึงภาวะผิดที่ผิดเวลา หัวหน้าพรรคทั้ง 8 มาร่วมลงนามมีสีหน้าไม่ดี ราวกับอมทุกข์ แทนที่ต้องฉายแววความยินดีออกมา ดังนั้น การจับมือตั้งรัฐบาลจึงสะท้อนได้แค่ความอยากในตัวตนของพรรคก้าวไกลที่ต้องการตั้งรัฐบาลให้ได้ แต่อาการของหัวหน้าพรรคอื่นๆ กลับบ่งบอกจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้”

นายจตุพร กล่าวต่อไปว่า เมื่อตั้งรัฐบาลไม่ได้ แล้วพรรคก้าวไกลยังเอาจุดยืนทางการเมืองที่ประกาศต่อสาธารณะมาแลกเปลี่ยน จึงเป็นการเปลือยความอยากในจิตใจให้เห็นตัวตนได้อย่างแท้จริง เท่ากับยอมเสียจิตวิญญาณ

Advertisement

“ความจริงขณะนี้ ต่อให้รวมกันให้ตาย ส.ว.ก็ไม่ได้อีก 63 เสียง (เพื่อให้ผ่าน 376 เสียง) ดังนั้น การไปปิดล้อมสภา อาจจะได้มาเพื่มอีกทีละเสียง สองเสียงเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ แต่ยังเป็นเป้าไกลในวันเลือกนายกฯ ปัญหาสำคัญคือว่าจะเดินไปถึงได้จริงหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก

ส่วนข่าว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะลาออกจากหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และยุบพรรคไปรวมกับพรรคเพื่อไทยเพื่อทำให้เป็นพรรคอันดับหนึ่งได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล ถ้าทำได้ โลกต้องติเตียน ปัญหาคือ คิดได้อย่างไร เป็นสูตรที่น่าอับอายมาก

แม้ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย บอกว่า ไม่มี แต่ไม่มีคนเชื่อ จึงเป็นวิกฤตศรัทธา อย่างไรก็ตาม การแปลงร่างแบบนี้ไม่ได้เป็นเรื่องฉลาดเลย ซึ่งหวังว่า คงไม่เกิดขึ้นเป็นจริง เพราะไม่มีใครรับได้แน่นอน การเมืองควรมีเกียรติด้วย ไม่ใช่เป็นปฏิบัติการไร้เกียรติ ซึ่งน่าอดสูอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องลือกันได้” นายจตุพรกล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อวานการลงนามเอ็มโอยูของพรรคร่วมตั้งรัฐบาล ก็แปลงร่างกันแล้ว ขณะที่มีข่าวพรรคการเมืองจะแปลงร่างกันอีก ดังนั้น ถึงที่สุดแล้ว จึงต้องจับตาการทำหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยเฉพาะการพิจารณาการถือหุ้นสื่อมวลชนของนายพิธา จะออกมาอย่างไร ส่วนการยุบพรรค เชื่อว่า อาจเกิดในต้นเดือนหน้า เป็นการยุบพรรคเพื่อไทย ดังนั้นเมื่อยังไม่ได้เสียงข้างมาก (จำนวน 376 เสียง) โดยต้องรวม ส.ว. ซึ่งส่อแนวโน้มไม่โหวตให้ ดังนั้น ขณะนี้พรรคร่วม 8 พรรคตั้งรัฐบาลมาถึงทางตันแล้ว เพราะ ส.ว. จะไม่หนุนให้เสียงนายพิธา ถึง 376 เสียง แต่กลับมาลงนามเอ็มโอยูประกาศตั้งรัฐบาลกันแล้ว ทำไปทำไม เพราะเป็นการผิดทิศสวนทางความเป็นจริง

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image