ผู้เขียน | กล้า สมุทวณิช |
---|
ความขัดแย้งแบ่งทีมที่ดูจะเป็นมิตรที่สุดนับแต่ได้เห็นผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ก็เห็นจะต้องยกให้การชิงกันของ ทีม “มิ้นต์ช็อก” กับทีม “กาแฟส้ม”
กระแสไวรัลน่ารักที่ผุดขึ้นมาแทรกสอดในบรรยากาศความขัดแย้งหลังการประกาศลงนามในข้อตกลง MOU เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากระหว่างพรรคการเมืองที่เป็นขั้วเดียวกัน ซึ่งเริ่มมีข้ออึดอัดขัดใจกันหลายเรื่อง ทั้งต่อฝ่ายที่เป็นผู้ร่วมเล่นในสนามไปจนถึงกองเชียร์ ที่ล่าสุดประเด็นที่อาจจะบานปลายจนหลายคนเริ่มเป็นห่วงว่าที่รัฐบาล “ฝ่ายประชาธิปไตย” คือเรื่องโควต้าของตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะถือเป็นตำแหน่งประธานรัฐสภาไปในตัวด้วย
จนถึงขั้นกองเชียร์เสื้อแดงของเพื่อไทยกลุ่มหนึ่งถึงกับออกมายื่นข้อเรียกร้องต่อพรรคให้ถอยมาเป็นฝ่ายค้านก่อน และรอเมื่อพรรคที่ชนะการเลือกตั้งอันดับหนึ่งคือพรรคก้าวไกลนั้นไม่อาจจัดตั้งรัฐบาลได้ แล้วค่อยยึดถือมารยาททางการเมืองจัดตั้งรัฐบาลบ้าง
ข้อวิวาทบาดหมางเหล่านั้นทำให้ฝ่ายผู้ที่อยากเห็นประเทศกลับไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย และเลือกพรรคการเมืองทั้งสองพรรคหลักรู้สึกหวาดหวั่นผสมกับเพลียใจ ทั้งๆ ที่ปัญหาใหญ่และสำคัญที่สุดที่เคยเป็นความสำคัญระดับแรกสุดที่จะชี้ชะตาว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี คือการที่สมาชิกวุฒิสภาที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตัวนายกฯด้วย ตามกับดักทางรัฐธรรมนูญของบทเฉพาะกาลเพื่อการสืบทอดอำนาจนั้น จะยอมออกเสียงตามฉันทามติของสังคมที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้งหรือไม่ ตอนนี้เหมือนกับว่าแสงสปอตไลต์ทางการเมืองที่เคยจับจ้องไปที่ ส.ว.เหล่านั้น กลับมาส่องที่สองพรรคใหญ่ที่เริ่มเหมือนจะตีกันเอง
เพราะอย่างนี้ทำให้วิวาทะเรื่อง “มิ้นต์ช็อก” กับ “กาแฟส้ม” นั้นเป็นความขัดแย้งที่พอจะหาความบันเทิงได้มากกว่า
กระแส “มิ้นต์ช็อก” มาจากเครื่องดื่มโปรดของคุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาเปิดเผยว่า นี่คือ Cocoa Mint หรือช็อกโกแลตมิ้นต์ ของร้าน ThinkLab Creative Space And Cafe ที่อยู่ใกล้ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ทำให้เกิดกระแส “มิ้นต์ช็อกฟีเวอร์” ชวนให้ผู้คนไปลองเครื่องดื่มแบบเดียวกันกับคุณอุ๊งอิ๊งนี้ รวมถึงช็อกโกแลตมิ้นต์แบบที่ทำเป็นขนมด้วย
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบส่วนผสมระหว่างสองสิ่งนี้ อย่างน้อยก็คุณ เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯอีกคนของพรรคเพื่อไทย ที่ได้รีวิวว่ามันเป็นส่วนผสมที่ออกจะไม่เข้ากัน กินเข้าไปแล้วรู้สึกเหมือนยาสีฟัน เอาคะแนนไปเลย 4 เต็ม 10
ความเห็นของคุณเศรษฐาเป็นตัวเปิดให้หลายคน หรืออาจจะเรียกว่าเป็นคนส่วนใหญ่เลยก็ได้ ก็ออกมารับตามๆ กันว่ารสชาติของเครื่องดื่มในกระแสนี้มันเหมือนยาสีฟันจริงๆ ไม่เห็นอร่อยสักนิด ประเมินคร่าวๆ ก็พอจะเห็นว่าทีม “ไม่ชอบมิ้นต์ช็อก” นั้นมีมากกว่าเยอะ
ระหว่างที่กำลังถกแถลงกันว่าตกลงมิ้นต์ช็อกนี้อร่อยจริง หรือเหมือนยาสีฟันหรือไม่ คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯของพรรคก้าวไกล ก็นำเสนอ “เครื่องดื่มโปรด” ของเขาบ้าง ซึ่งได้แก่ “กาแฟน้ำส้ม” ซึ่งมีสองสูตรคือ Sunrise กับ Sunshine มีส่วนผสมของน้ำส้มทั้งคู่ แตกต่างกันที่น้ำผลไม้อื่นที่มาร่วมผสมด้วย ซึ่งเครื่องดื่มทั้งสองเมนูนี้มีขายที่ Sol Bar คาเฟ่สุราก้าวหน้าซึ่งอยู่ในที่ทำการพรรคก้าวไกล ซึ่งตอนกลางวันจะเป็นร้านกาแฟ ส่วนกลางคืนถึงจะกลายเป็นบาร์ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สุราพื้นบ้านตามนโยบายของพรรค
เมนู “กาแฟน้ำส้ม” ของคุณพิธาเหมือนจะได้รับการยอมรับเป็นฉันทามติมากกว่า โดยไม่ค่อยมีใครวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเข้ากันหรือไม่เข้ากันของมัน จึงไม่เป็นกระแสอะไรมากเท่ากรณีของ “มิ้นต์ช็อก”
เอาเข้าจริงทั้ง “มิ้นต์ช็อก” และ “กาแฟน้ำส้ม” นั้นมีจุดร่วมกันอยู่ คือเป็นการจับคู่ผสมผสานระหว่างรสชาติที่ขัดแย้งแตกต่างกันสองรส คือรสขมของกาแฟและช็อกโกแลต กับรสเปรี้ยวของส้ม หรือรสเย็นซ่าของเปเปอร์มิ้นต์ ซึ่งโดยปกติแล้วเราจะสัมผัสหรือลิ้มรสพวกนี้กันแบบเดี่ยวๆ ไม่ค่อยนำมาผสมหรือกินร่วมกันเท่าไรนัก
หาก “มิ้นต์ช็อก” นั้นอาจจะอาภัพกว่าหน่อยตรงที่สำหรับคนทั่วไปนั้นจะรู้จักรสของ “มิ้นต์” หรือเปเปอร์มิ้นต์ครั้งแรกนับแต่จำความได้จากรสชาติของ “ยาสีฟัน” ซึ่งจะยี่ห้อไหนแบบใดก็ล้วนจะมีส่วนผสมของเปเปอร์มิ้นต์ทั้งสิ้นด้วยว่ากลิ่นรสของมันชวนให้รู้สึกหอมสะอาดปลอดโปร่ง ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีขนมประเภทท็อฟฟี่ ลูกอม หรือหมากฝรั่งที่มีกลิ่นเปเปอร์มิ้นต์อยู่ แต่ก็ไม่ใช่ของที่คนทั่วไปจะชอบกิน หรือลิ้มลองกันมากเท่ารสชาติของยาสีฟัน
โดยปกติแล้วการตัดสินคุณค่าของมนุษย์เมื่อพบกับสิ่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคยจะนำเอาสิ่งใหม่ที่ต้องสงสัยไปสืบค้นเปรียบเทียบกับ “ประสบการณ์” ของตนที่ใกล้เคียงกับสิ่งนั้นที่สุด และประเมินว่าสิ่งแปลกใหม่ที่ได้พบหรือสัมผัสน่าจะเป็นอย่างเดียวกับสิ่งอ้างอิงในประสบการณ์
เช่นนี้ เมื่อจุดอ้างอิงของ “มิ้นต์” สำหรับคนส่วนใหญ่นั้นเป็นยาสีฟันเสียแล้ว และยาสีฟันนั้นก็ไม่ใช่ของกิน หรือถ้าใครเผลอกลืนเข้าไปแล้วก็จะยิ่งได้ประสบการณ์ที่ไม่น่าอภิรมย์เข้าไปอีก ก็ไม่แปลกที่ทำไมจะมีผู้ชื่นชอบรสชาติของ “มิ้นต์ช็อก” ได้น้อยกว่า แม้ว่าจะรู้ว่านั่นคือเครื่องดื่มหรือของหวานที่กินได้ก็ตาม
แตกต่างจาก “ส้ม” ที่แม้จะเอาไปแปรรูปแบบอื่นบ้าง แต่หลักการของส้มที่เราได้ลิ้มรสก็จะอยู่ในรูปของกิน ผลไม้ ขนมอยู่แล้ว ทำให้ความรู้สึกต่อต้าน “รสชาติของส้ม” จึงมีน้อยกว่า
ทั้งที่จริงแล้ว เปเปอร์มิ้นต์เป็นพืชที่ใกล้เคียงกับ “สะระแหน่” ที่เราจะพบได้ในอาหารไทยประเภทยำ หรือลาบอยู่แล้ว เพียงแต่สะระแหน่ของไทยนั้นมีกลิ่น “แบบยาสีฟัน” ของเปเปอร์มิ้นต์เพียงบางเบา ทำให้เราอาจจะไม่รู้สึกแปลกอะไรเท่าไรนัก แต่ถ้าใครมีโอกาสลองไปกินอาหารไทยอีสานที่ร้านอาหาร หรือบ้านคนในประเทศทางยุโรปใต้ เช่น ฝรั่งเศส สเปน หรืออิตาลี อาจจะต้องตกใจเพราะรู้สึกว่าในลาบหรือน้ำจิ้มบางอย่างมันมีกลิ่นคล้ายใครทำยาสีฟันหยดลงไปจริงๆ (กลิ่นสะระแหน่ฝรั่งกับน้ำปลานี่เป็นอะไรที่พ้นเกินจินตนาการไปพอสมควรทีเดียว)
ปัญหาของ “มิ้นต์ช็อก” และ “สะระแหน่ฝรั่ง” ที่กล่าวถึงไปนั้นจึงเป็นปัญหาความขัดแย้งเชิงประสบการณ์ของผู้ลิ้มลองโดยแท้
กลับมาที่ข้อขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งเรื่องนี้ก็อาจจะเกี่ยวเนื่องกับ “ประสบการณ์” เช่นกัน เพราะผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมานั้นมันเป็น “ประสบการณ์แบบใหม่” ที่ผู้คนที่ติดตามการเมืองไทยมาก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะยุคใดก็ไม่คุ้นชิน หรือไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนทั้งสิ้น ไม่ผิดกับการแรกเจอรสชาติของ “มิ้นต์ช็อก”
เป็นครั้งแรกที่พรรคการเมืองหน้าใหม่ที่เต็มไปด้วยกระแส และที่ทุกฝ่ายยอมรับว่ามีแต่กระแสความนิยม ไม่มีกระสุน หรือทุนรอนอะไรอย่างพรรคก้าวไกล สามารถเอาชนะการเลือกตั้งเป็นที่หนึ่งได้ และพรรคที่เคยเรียกว่าผูกขาดชนะเลือกตั้งมากกว่า 20 ปี เคยชนะระดับปฐพีถล่มเป็นเสียงข้างมากพรรคเดียว ถึงจะเรียกไม่ได้ว่าแพ้ แต่ก็ได้ ส.ส.มาเป็นลำดับสอง
แต่ก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่พรรคที่ชนะการเลือกตั้งได้เป็นที่หนึ่งและที่สองจะมาจับมือกันตั้งรัฐบาลร่วมกัน ที่เดิมทีนั้นตามประเพณีทางการเมืองไทยและที่ไหนๆ ก็ตาม พรรคที่ชนะการเลือกตั้งจะจัดตั้งรัฐบาล ส่วนพรรคที่ชนะการเลือกตั้งเป็นที่สองก็น่าจะเป็นฝ่ายค้าน เพราะปกติแล้วชัยชนะ หรือจำนวนที่นั่งของพรรคที่หนึ่งและที่สองนี้จะใกล้เคียงกัน ถ้าตั้งรัฐบาลร่วมกันจะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากที่แข็งแกร่งเกินสมควร ทั้งยังไม่ต้องนับว่า “โดยปกติ” แล้วพรรคที่ได้รับความนิยมจากประชาชนสองอันดับแรกของประเทศต่างๆ มักจะมีแนวอุดมการณ์ทางการเมือง หรือทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างที่ไม่น่าจะมารวมกันได้ เช่น กรณีของพรรคอนุรักษนิยมกับพรรคแรงงาน หรือพรรคที่สมาทานแนวทางสังคมนิยมกับพรรคแนวเสรีทุนนิยม
ซึ่งอันที่จริงแล้วแนวทางของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยเองก็แตกต่างกันอยู่เช่นกัน เพียงแต่การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งที่บิดเบี้ยว เพราะคณะรัฐประหารที่เคยล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้เข้าสู่การเมืองระบบเลือกตั้งโดยกลไกการสืบทอดอำนาจที่พวกเขาวางไว้ นั่นทำให้พรรคการเมืองที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับการทำรัฐประหารต้องจับเป็นขั้วเดียวกันในเชิงอุดมการณ์หลักทางการเมือง กลายเป็นฝ่าย “ประชาธิปไตย” ร่วมกัน แม้ว่าแนวทางประชาธิปไตยจะแตกต่างกันก็ตาม
ความขัดแย้งทั้งหลายส่วนหนึ่งจึงมาจากการที่ไม่สามารถใช้ประสบการณ์มาช่วยตัดสินว่าเรื่องนี้ที่ถูกที่ควรนั้นจะเป็นอย่างไร ตำแหน่งประธานสภาควรเป็นของใครในกรณีนี้ และนโยบายของพรรคการเมืองแต่ละพรรคจะผูกพันต่อพรรคอื่นแค่ไหน เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลร่วมกัน
หลังจากนี้ต่อไป เราจะได้เห็นฉากทัศน์การเมืองแบบที่ไม่เคยเห็นที่การตัดสินใจของพรรคการเมืองอาจจะต้องยึดโยงจากกระแสเสียงของประชาชนซึ่งรับฟังได้ง่ายขึ้นด้วยโซเชียลมีเดีย รวมถึงเราอาจจะได้เห็นคนหนุ่มสาววัยปลายสามสิบถึงต้นสี่สิบขึ้นเป็นเจ้ากระทรวงใหญ่ๆ อย่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ หรือการต่างประเทศ อันเป็นสิ่งที่เราไม่คาดฝันคาดหมายว่าจะได้เห็น รวมถึงอาจจะได้เห็นแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินในรูปแบบใหม่ อย่างที่ให้จินตนาการไปตอนนี้ก็คงนึกไม่ออก เหมือนกับที่เราเคยนึกไม่ออกว่าจะมีคนเอาเปเปอร์มิ้นต์มาผสมช็อกโกแลตเป็นเครื่องดื่ม หรือของหวานนั่นแหละ
ซึ่งในตอนนั้น “ความขัดแย้งเชิงประสบการณ์” ที่เกิดจากการนำสิ่งใหม่ที่ไม่เคยพบเห็นไปเปรียบเทียบกับประสบการณ์อ้างอิงนั้นจะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ และความขัดแย้งนั้นอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นมาได้เช่นกัน
สิ่งที่เราจะต้องยึดไว้เป็นหลักคือ “มิ้นต์” นั้นมันคือพืชกลิ่น หรือสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัว และมนุษย์เราจะนำเอามิ้นต์ไปใช้ประโยชน์ในหลายรูปแบบ ทั้งทำเป็นอาหารและใส่ในยาสีฟันให้รสและกลิ่นนั้นสดชื่นซาบซ่า
“มิ้นต์” นั้นจึงไม่ใช่ “ยาสีฟัน” แต่เราต้องพูดว่า “ยาสีฟัน” นั้นคือ “มิ้นต์” ต่างหาก ดังนั้น “มิ้นต์ช็อก” จึงเป็นเพียง “ช็อกโกแลต” รสชาติหนึ่ง ไม่ต่างจากช็อกโกแลตใส่ผลไม้แห้งหรือถั่ว แต่ไม่ใช่ช็อกโกแลตผสมยาสีฟัน อย่างไรก็ไม่ใช่
แม้ต่อจากนี้ไปเราอาจจะได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นอีกมาก และมันอาจจะทำให้ขัดใจขุ่นข้อง เมื่อนำเอาสิ่งที่ได้เห็นไปเปรียบเทียบจับคู่กับประสบการณ์ หรือความคิดความเชื่อ แน่นอนว่ามันอาจจะเกิดขึ้น แต่เราก็ต้องตั้งหลักกันมั่นๆ ว่านี่คือผลมาจากกลไกของ “ประชาธิปไตย” ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย เหมือนที่ “มิ้นต์ช็อก” อาจจะรสชาติไม่คุ้นเคย แต่มันก็ยังเป็นอาหาร และกินได้แน่ๆ
ซึ่งจริงๆ ถ้าตัดความคุ้นเคยที่เกิดจากเปรียบเทียบกับค่าตั้งต้นของประสบการณ์ มิ้นต์ช็อกก็อร่อยดี