‘คนนอก-คนใน’ ดรีมทีมรัฐบาล 8 พรรค
วันวิชิต บุญโปร่ง
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ถ้าผมดีไซน์หน้าตา ครม.ได้ แน่นอนว่าต้องเป็นมืออาชีพ มีภาพลักษณ์และมีต้นทุนทางสังคมที่ประชาชนยอมรับได้ เพราะรอบนี้ประชาชนคาดหวังสูงมาก ว่าเมื่อ ครม.เข้ามา 1.จะสามารถทำงานได้ทันที โดยเฉพาะความคาดหวังเรื่องการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ ที่มีปัญหาใหม่ๆ รุมเร้า ต้องไปพูดคุยกับผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดความวางใจ ว่านโยบายหลักเร่งด่วนของรัฐบาลไม่ว่าจะพรรคเพื่อไทย หรือก้าวไกล มากุมบังเหียนนโยบายทางเศรษฐกิจ จะต้องพูดคุยเรื่องค่าครองชีพของแรงงานที่จะต้องปรับตัวให้สูง ว่าจะกระทบต่อผู้ประกอบการมากน้อยแค่ไหน รวมถึงความน่าสนใจในมุมนักลงทุนต่างประเทศว่าจะมีผลมากหรือไม่ ดังนั้น นอกจากความรู้แล้ว ยังมีภาพลักษณ์ ความคาดหวังว่ารัฐมนตรีใน ครม.ต้องไม่มีภาพผลประโยชน์ทับซ้อนในการดำรงตำแหน่ง โดยเฉพาะกระทรวงทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจุดนี้สำคัญอย่างยิ่ง
ผมคิดว่ารอบนี้นอกจากประชาชนจะคาดหวังสูงแล้ว ยังจับตามองในการทำงานด้วยว่า การทำงานของทุกกระทรวงในเรื่องโครงการที่ต้องเข้าไปขับเคลื่อน จะไปรื้อ ไปแก้ไข หรือไปต่อยอดนโยบายของรัฐบาลชุดเก่าหรือไม่ ดังนั้น ผมคิดว่าสิ่งสำคัญในการทำงานรูปแบบทีม แม้ว่าจะมีลักษณะเป็นรัฐบาลผสม แต่ประเภทต่างคนต่างทำ ให้เกียรติกัน ไม่ยุ่งย่ามข้ามกระทรวงกัน มันก็คงจะมีจารีตแบบไทยๆ อยู่ แต่อย่างน้อยการทำงานหารือเพื่อให้เกิดนโยบายที่ทิศทางสอดคล้องกัน อย่างเช่น นโยบายทางเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยกับก้าวไกล เรื่องรายละเอียดของการพูดคุยโดยเฉพาะการแก้ปัญหาความมั่นคง ค่าพลังงานในครัวเรือนจะต้องถูกลง มันสอดคล้องกับนโยบายของทั้ง 2 พรรคหลักหรือไม่ ถ้าทำงานกันเป็นทีมแบบนี้ ผมคิดว่าแนวโน้มน่าจะออกมาดี
ในส่วนของสเปกรัฐมนตรี ผมว่าโลกทัศน์ในการเมืองสากลทั่วไป เขาเริ่มยอมรับผู้นำทางการเมืองที่มีอายุน้อยลง แต่มีประสบการณ์และเข้าใจเรื่องการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะได้ตรงกับความรู้สึก ตรงกับความต้องการตามบริบทของสังคมที่ต้องการพัฒนาไปในทิศทางนั้น ซึ่งในประเทศที่เจริญแล้วเราจะสังเกตเห็นว่าผู้คนหนุ่มสาว จะเข้ามามีอำนาจทางการเมืองจนกลายเป็นเรื่องปกติ ดังนั้น เราอย่าเอาจารีต เรื่องประสบการณ์ วัยวุฒิ มาเป็นองค์ประกอบหลักในการพิจารณา แต่ต้องมองเรื่องความสามารถ ความมีเอนเนอร์จี้ หรือมีพลังในการขับเคลื่อน
เพราะบางที คนมีประสบการณ์ ดีก็จริง เพราะเห็นความบกพร่อง เห็นความสำเร็จมาก่อน แต่ในแง่หนึ่งการทำงานบางอย่างก็ต้องการการตัดสินใจอย่างเร่งด่วนเช่นกัน ดังนั้น ในการจะพิจารณาในบางนโยบาย ที่บางครั้งอาจจะตั้งแท่นขึ้นมาจากระบบราชการ คนหนุ่มสาวที่มีประสบการณ์ในภาคเอกชน หรือภาคธุรกิจมาก่อน อาจจะมีวิธีมองการทำงานแบบลดขั้นตอน หรือกระบวนการทางเทคนิคที่เป็นระบบราชการลงไป ตรงนี้จะทำให้ถูกใจประชาชนที่ยอมรับการเมืองสมัยใหม่ ผมคิดว่าการเมืองแบบเก่าที่ยึดโยงระบบราชการ จะต้องลดเงื่อนไขตรงนี้ลง อย่าไปมองเรื่องวัย อุปสรรคสำคัญอย่างเดียวในการฟอร์ม ครม. คือความเชื่อมั่นมากกว่า ถ้าสังคมตัดเรื่องความเชื่อมั่นออกไปแล้วมองแต่เรื่องวัยวุฒิของรัฐมนตรี ว่าจะมีประสบการณ์มากแค่ไหน ผมว่าไม่เกี่ยวแล้ว อย่าลืมว่าทุกกระทรวงก็มีข้าราชการ
หลักๆ คอยให้คำชี้แนะ ให้คำปรึกษาอยู่ ถ้าสมมุติรัฐมนตรีทำงานอย่างไม่ตรงไปตรงมา แน่นอนว่าข้าราชการก็คงไม่ยอมเหมือนกันเพราะจะทำให้เขาเดือดร้อน ขัดกับตัวบทกฎหมาย จึงต้องรู้จักใช้ศิลปะของการปกครองด้วย คนรุ่นใหม่ที่เข้ามาจะต้องเรียนรู้ต่อขนบ จารีต วัฒนธรรมมองค์กรนั้นๆ จะเปลี่ยนแบบฉับพลันไม่ได้ เข้าใจเจตนาว่าอยากทำงานให้ไวขึ้น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี
สำหรับ กระทรวงการคลัง ผมคิดว่าควรจะได้คนที่อธิบายด้วยภาษาทางเศรษฐศาสตร์ที่ประชาชนเข้าใจง่าย อย่าลืมว่า คุณศิริกัญญา ตันสกุล เมื่อเทียบกับ อาจารย์สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตอนอายุ 37 ปี ในรัฐบาลคุณบรรหาร ศิลปอาชา ถือว่าอายุน้อยมาก คุณศิริกัญญา อายุ 42 ปี ผมคิดว่าบริบททางสังคมมันเปลี่ยนไปมาก การเมืองและเศรษฐกิจไทย มันพลวัต ดังนั้น การเมืองที่ใช้กลไกระบบราชการทำงานแทน มันไปไม่ได้ ต้องอาศัยการตัดสินใจที่รวดเร็ว คล่องตัว และเข้าใจการแข่งขัน เข้าใจการเมือง เศรษฐกิจ สังคมที่เปลี่ยนไปทุกวัน ดังนั้น รัฐมนตรีต้องพร้อมปรับตัวและเรียนรู้ตลอดเวลา ผมคิดว่าเรื่องเงื่อนไขวัยวุฒิของ
คุณศิริกัญญา ไม่น่ามีปัญหา เราต้องการรัฐมนตรีที่มีความฉะฉาน คล่องตัวสูง ที่สำคัญคุณศิริกัญญามีจุดเด่นประการหนึ่ง คือการอภิปรายภาษาเศรษฐกิจให้ประชาชนเข้าใจง่าย
หรืออย่างกระทรวงกลาโหม ถ้าต้องการทหารด้วยกัน แน่นอนว่าจะคุ้นเคยกับวัฒนธรรมองค์กร ปกครองง่าย กรณีที่พูดถึง พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก เป็นนายทหารมืออาชีพที่เคยมีประสบการณ์ ดำรงตำแหน่งสูงสุดคือปลัดกระทรวงกลาโหม สำคัญคือ มีสายตาที่โลกทัศน์เข้าใจการเมืองและความมั่นคงระดับภูมิภาคและระดับโลกได้ดีเยี่ยม ด้านการศึกษาท่านเรียนหลักสูตร โรงเรียนเสนาธิการทหารบกสหรัฐ ร่วมรุ่นกับอดีตประธานาธิบดีอินโดนีเซีย พลเอก สุศีโล บัมบัง ยุทโธโยโน ผมจึงคิดว่าในบริบทของนายทหารที่มีประสบการณ์ ผ่านการศึกษาจากต่างประเทศเข้ามา มันเหมาะสมกับภาวะในปี 2566 ที่จะมีความท้าทายด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่เข้ามาสู่ประเทศไทย การสู้รบแบบเดิมจะไม่มี มีแต่ภัยก่อการร้าย ภัยไซเบอร์ ภัยทางธรรมชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควรจะต้องเป็นคนที่มีความคิดความอ่านที่ทันสมัย ในขณะเดียวกันก็ต้องมีวัยวุฒิ อาวุโสพอที่จะปกครองนายทหารน้องๆ ได้ ซึ่งกรณี พล.อ.นิพัทธ์ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
สำหรับกรณีรัฐมนตรีคนนอก ไม่มีข้อห้ามทางกฎหมาย ยิ่งถ้าเป็นคนนอกที่สังคมเอาด้วย ผมคิดว่าจะยิ่งส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลด้วยซ้ำ
ส่วนกรอบเรื่องวัยที่คนเป็นรัฐมนตรีต้องอายุ 35 ปีขึ้นไป ก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่น่าจะมีผลอะไร แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือกรอบหารือร่วมกัน ผมคิดว่านโยบายที่มีทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะการใช้งบประมาณสำหรับการกระตุ้นทางเศรษฐกิจ ระหว่างเพื่อไทยและก้าวไกล ต้องหารือกันให้ดีเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งในอนาคต
ท้ายที่สุด ถามว่า ครม.ในฝัน จะถูกดีลลับล้มทับจนฝันสลายหรือไม่นั้น ผมว่าสังคมจับตามอง และทุกวันนี้อินฟลูเอนเซอร์ทางสังคม หรือนักวิเคราะห์ทางการเมือง คิดดักทาง ดักคอผู้ที่มีความเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติทางการเมืองอยู่แล้ว เพื่อให้การเมืองเป็นไปตามครรลอง ตามธรรมชาติของมันจริงๆ
พัลลภ แซ่จิว
ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่
การจัดตั้งรัฐบาลของ 8 พรรคการเมืองเพื่อเป็นคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในฝันของประชาชน ว่า ส่วนตัวไม่คาดหวังรัฐบาลชุดใหม่เป็น ครม.ในฝัน แต่คาดหวังเป็น ครม.ที่รับฟังเสียงประชาชน และภาคเอกชนมากกว่า ไม่ใช่คิดและสั่งการเอง แต่เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นและเสียงสะท้อนทุกสาขาอาชีพ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยน พร้อมรับฟังปัญหา อุปสรรคการประกอบกิจการหรือธุรกิจทุกแขนง นำไปสู่การแก้ปัญหาแบบครบงจร ทั้งเชิงโครงสร้างระเบียบกฎหมาย นโยบายรัฐ และเสริมภาคเอกชน เพื่อวางแผน บริหารจัดการอย่างเป็นระบบ
ปัญหาอุปสรรคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวคือกฎระเบียบที่ไม่เอื้อท่องเที่ยว ข้อจำกัดการเดินทาง และธุรกิจแอบแฝง ที่ส่งผลกระทบ
ต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคงประเทศ โดยเฉพาะทัวร์ศูนย์เหรียญ อาชญากรรมข้ามชาติ ธุรกิจสีเทา มาเฟียสถานบันเทิง และหลอกลวงนักท่องเที่ยว หรือฉวยโอกาสเอาเปรียบลูกค้าและผู้บริโภค ปัญหาดังกล่าว เกิดมานานแล้ว แต่ยังไม่ได้รับแก้ไขจริงจังมากนัก ปัญหาดังกล่าวถือเป็นจุดอ่อนและบ่อนทำลายภาพลักษณ์ประเทศ มานานแล้ว
จาก MOU 23 ข้อของพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรค ไม่ได้พูดถึงท่องเที่ยวเลย อาจมองว่าเป็นเศรษฐกิจที่สามารถขับเคลื่อนในตัวเองได้อยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการต้องใช้นโยบายรัฐบาลขับเคลื่อน เพื่อกำหนดทิศทาง ยุทธศาสตร์ และกลยุทธ์แข่งขันในตลาดโลก เพื่อชิงส่วนแบ่งนักท่องเที่ยว และรายได้สู่ประเทศด้วย
ดังนั้นนโยบายเศรษฐกิจและเพิ่มรายได้ชุมชน ต้องมีท่องเที่ยวและบริการเป็นจุดขายหลัก อาจส่งเสริมท่องเที่ยวเมืองหลักสู่เมืองรอง ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและวิถีชีวิตชุมชน ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และสิ่งแวดล้อม ท่องเที่ยวศิลปวัฒนธรรมหรือซอฟต์เพาเวอร์ รวมทั้งท่องเที่ยวมหัศจรรย์ หรืออันซีนไทยแลนด์เพื่อสร้างความสนใจ และดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้นตามลำดับ ส่วนแหล่งท่องเที่ยวที่มีอยู่แล้ว เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว เคยมาสัมผัสหลายครั้งแล้ว อาทิ วัดพระธาตุดอยสุเทพวรวิหาร อ.เมือง ร่มบ่อสร้าง อ.สันกำแพง บ้านถวาย อ.หางดง ต้องสร้างกิจกรรมใหม่ แบบเที่ยวที่เดิมเพิ่มประสบการณ์ใหม่ เช่น ทำร่ม และวาดรูปร่ม ที่เป็นผลงานชิ้นเดียวในโลกเพื่อเป็นจุดขายใหม่ ให้นักท่องเที่ยวกลับมาเยือนอีกครั้ง
ไม่ว่าพรรคไหนหรือใครมาคุมกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ต้องสรรหาบุคคลที่มีความรู้และเชี่ยวชาญเรื่องดังกล่าว ต้องประสานกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมและแข่งขันในเวทีโลกได้ ที่สำคัญต้องมีคณะทำงานคอยช่วยเหลือผลักดันเรื่องดังกล่าวไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ ถ้าวางแผน มีกลยุทธ์การตลาด และทีมงานดี เชื่อว่าประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
ภาพรวม ครม.ที่เข้ามาบริหารประเทศต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสม มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ส่วนอายุ ประสบการณ์ ไม่น่ามีปัญหา เพราะคนเป็นรัฐมนตรี ต้องมีวุฒิภาวะ ความรู้ ความสามารถอยู่แล้ว ถ้ามีทีมงานเข้มแข็งเชื่อว่าบริหารจัดการได้ ดังนั้น ต้องขับเคลื่อนนโยบายตาม MOU ให้เร็วที่สุดเพื่อสร้างความมั่นใจ เชื่อมั่นนักลงทุน
ไม่ว่าหน้าตา ครม.ในฝัน เป็นอย่างไร หรือรัฐมนตรีมาจากพรรคไหนอย่าเอาผลงานระดับพรรคเป็นตัวตั้ง แต่เอาผลงาน และผลประโยชน์ประเทศเป็นตัวตั้ง เพื่อขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวไปสู่เป้าหมาย หากฟอร์ม ครม.แล้ว ช่วงเดือนแรก ควรเดินสายพบทุกสาขาอาขีพ เพื่อกำหนดนโยบายและทิศทางทำงานร่วมกัน เพื่อประโยชน์ส่วนรวม และทุกฝ่ายมีส่วนร่วมด้วย
ไพศาล สุขเจริญ
นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคเหนือ (ตอนบน) และผู้บริหาร โรงแรมสมายล์ล้านนา
การฟอร์มทีมรัฐบาลใหม่ ขณะนี้มองว่าสถานการณ์ทรงการเมืองยังไม่นิ่ง ยังไม่ชัดเจนว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ เพราะยังมีอุปสรรคการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกันความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากมีบรรยากาศไม่สดใส แม้จะเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม หากแนวโน้มทางการเมืองไปในทิศทางบวก ลงล็อกมากขึ้น จะช่วยเสริมให้เสถียรภาพทางการเมืองดีขึ้น ดำเนินการไปตามระเบียบและขั้นตอนทางกฎหมาย
ในส่วนของเอกชนยังหวังว่า ถ้าการเมืองนิ่งจะทำให้สถิติหรือตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ดีขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าการเมืองไม่แน่นอน อาจทำให้เศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักได้รับผลกระทบจากที่นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่เดินทางเข้ามา หากเกิดกรณีมีประชาชนลงถนน (ม็อบ) เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยวเป็นกังวล ธุรกิจโรงแรมจะได้รับผลกระทบเยอะมาก ยังมีความหวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี
การจัดตั้งรัฐบาลที่จะมีผู้นำขึ้นมานั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมถึงการจัดสรรรัฐมนตรีในกระทรวงต่างๆ นั้น ขอเป็นคนที่คิดถึงผลประโยชน์ของประเทศมากกว่ายึดแต่อำนาจของตนเองเป็นใหญ่ เรายังมีความหวังเล็กๆ เพราะประเทศจะเดินหน้า และก้าวหน้าต่อไปได้
ที่ผ่านมา หลังการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม เกิดกระแสข่าวความขัดแย้งในฝั่ง 2 ขั้วรัฐบาล และความไม่ชัดเจนกับการดำเนินนโยบาย เพราะพรรคร่วมมีเสียงค่อนข้างเสมอกัน จึงมีการสร้างกระแสที่ก่อความไม่เชื่อมั่นออกมาสู่สาธารณะ เรื่องนี้ค่อนข้างส่งผลกระทบ เพราะเริ่มมีสัญญาณการยกเลิกการจัดสัมมนาในโรงแรม ยกเลิกจัดงานบ้างแล้ว นักท่องเที่ยวก็ยกเลิกการจองห้องพักเช่นกัน สาเหตุอาจต้องการเก็บเงินใช้จ่ายที่จำเป็นอื่น อีกทั้งกังวลสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่ชัดเจน อาจเกิดความรุนแรงขึ้น ส่วนนี้ผู้ประกอบการโรงแรมกลัวจะได้รับผลกระทบ
การจัดตั้งรัฐบาลอยากให้มีการจัดสรรที่มีความชัดเจนและเหมาะสม ผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีควรเป็นผู้มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ เพราะการตัดสินใจต่างๆ จะต้องชัดเจน หนักแน่นในทุกสถานการณ์ และรับมือได้
ส่วนคนรุ่นใหม่อยากให้เข้าไปฝึกฝน โดยเป็นรัฐมนตรีช่วย (รมช.) ได้ สามารถเรียนรู้การทำงาน เนื่องจากอนาคตข้างหน้ายังเข้ามาช่วยนำความรู้มาสนับสนุนให้เศรษฐกิจของประเทศเจริญก้าวหน้าต่อไปได้ อยากให้รัฐบาลที่เป็นรัฐผสมขณะนี้ เกิดความผสมผสานที่ดีต่อกัน และช่วยกันผลักดันประเทศให้ก้าวหน้าต่อไป