‘พลอย’ เพชรรัตน์ ใหม่ชมภู ผู้โค่น ส.ส.เชียงใหม่ เขต 1 ล้มตำนานเมืองหลวงเพื่อไทย โต้วาทะ ‘ไม่มีพรรคอย่าหวังชนะ’
ไม่ใช่ตัวตึง หรือบ้านใหญ่ แต่มาวินได้แบบเหนือคาด สำหรับ ‘พลอย’ เพชรรัตน์ ใหม่ชมภู ว่าที่ ส.ส.เชียงใหม่ เขต 1 พรรคก้าวไกล
เพราะเจาะไข่แดงพื้นที่สีแดงเข้ม อย่าง ‘ตัวเมืองเชียงใหม่’ ให้เห็นมาแล้วในสนามเลือกตั้งที่ผ่านมา โกย 48,823 คะแนนเสียง (45.02%) ช่วงชิงบทบาทตัวแทนพี่น้องประชาชนจากเจ้าถิ่นเก่าแห่งภาคเหนือ อย่าง ‘พรรคเพื่อไทย’ ที่แม้จะย้าย จักรพล ตั้งสุทธิธรรม อดีต ส.ส.จากเขต 3 มาเชือดเฉือนในสนามเขต 1 แทน แต่ก็ยังพ่ายกระแสมาแรง ได้ไป 30,086 คะแนน หรือ 27.74% เท่านั้น
ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่คือผลพลอยได้ที่การันตีชัดว่า แม้จะหน้าใหม่ในสนามการเมือง แต่การทุ่มตระเวนลงพื้นที่ทำคะแนนเสียงบวกกับกระแสมาแรงของพรรค และความอยากเห็นการเมืองใหม่ของผู้คนส่วนใหญ่ ผลักให้เกิดความไว้วางใจของคนในท้องถิ่น ลองมอบโอกาสหนนี้ให้พิสูจน์คำพูดผ่านผลงาน
“จะทำงานให้คุ้มค่ากับภาษีที่จ่ายให้ ทำให้ดีที่สุด ทำจนสุดความสามารถที่มี”
ส่วนหนึ่งสโลแกนที่พลอย เพชรรัตน์ ใช้แทนคำสัญญา คือการมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ผลักดันกระจายอำนาจเลือกตั้งผู้ว่าฯ งัดกลยุทธ์อาสาสมัคร ดับไฟป่า แก้วิกฤตโควิด ยาวไปจนถึงฝุ่น PM2.5 ในเมืองที่เต็มไปด้วยหมอกพิษ
มติชน ชวนทำความรู้จัก ‘พลอย’ เพชรรัตน์ ใหม่ชมภู ลูกสาวอดีตรองนายก อบจ.เชียงใหม่ ผู้พลิกตำนาน คว้าชัยในเมืองหลวงของ ‘ไทยรักไทย’ ‘เพื่อไทย’ ที่ไม่เคยมีใครชนะขาดลอยมาก่อน
-จุดเริ่มต้นของการอยากลง ส.ส.?
ครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจการเมือง ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญ 2560 ก็แสดงจุดยืนทางการเมืองเรื่อยมา ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต ขณะนั้นก็มีพรรคอนาคตใหม่ ที่มีจุดยืนชัดเจนตรงไปตรงมา เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ 60 ต่อมาก็เข้าสมัครเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคอนาคตใหม่ แต่ไม่ถึงลำดับ ก็เลยมาเป็นผู้ช่วยของ น.ส.กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ หรือครูจุ๊ย
-คิดว่ากระแสของพรรคก้าวไกล มีส่วนสำคัญที่ทำให้เราชนะ ส.ส.เชียงใหม่ เขต 1 หรือเปล่า?
มีส่วนที่ทำให้ชนะประมาณ 40-45 เปอร์เซ็นต์ อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ชนะ คือการลงพื้นที่ของเรา ทำงานด้านภาคประชาสังคม ลงพื้นที่ช่วงโควิดที่ระบาดหนักในปี 2564 ซึ่งชุมชนหรือหมู่บ้านในเขตไหนก็รู้จักเราในนามภาคประชาสังคม แล้วก็ได้มาเป็นว่าที่ผู้สมัคร ทั้งกระแสและการทำงานของเราอย่างหนักตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำให้เราชนะการเลือกตั้ง
-คิดอย่างไรกับคำว่า “ถ้าไม่มีพรรค อย่าหวังว่าจะชนะเลือกตั้ง”
จริงๆ แล้ว การเลือกตั้ง ส.ส.เขต ต้องอาศัยคะแนนตัวบุคคลด้วย ไม่ใช่ว่ากระแสพรรคอย่างเดียว กระแสพรรคก็เป็นแรงผลักดันให้เราอยากชนะการเลือกตั้งเหมือนกัน เป็น 50:50 ในการชนะการเลือกตั้งครั้งนี้
-เมื่อเทียบประสบการณ์ของตัวเอง กับ ส.ส.ถิ่น ที่เคยชนะมาหลายสนาม เป็นอุปสรรคในการทำงานหรือไม่?
ไม่เป็นอุปสรรค เพราะการทำงานในสภาเป็นองค์ความรู้ที่มีอยู่แล้ว และสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ ส่วนเรื่องของความจริงจังในการแก้ไขปัญหา เป็นเรื่องสำคัญกว่าในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน
-คิดว่าการชนะเลือกตั้งครั้งนี้ จะทำให้คนเชียงใหม่หันมาซบก้าวไกล แทนเพื่อไทยแบบถาวรเลยไหม?
ส่วนตัวมองว่าขึ้นอยู่กับการทำงาน แต่ยังมั่นใจว่า ทุกๆ เขต รวมถึงเขตที่เราได้ ก็มีความตั้งใจจะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนอยู่แล้ว ถ้าจุดยืนเราชัดเจนขนาดนี้ การทำงานจริงจังและจริงใจในการแก้ไข้ปัญหา ก็คิดว่าน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี
-อยากผลักดันข้อกฎหมายในเรื่องใดมากที่สุด เพราะอะไร และจะผลักดันอย่างไร?
ถ้าเป็นในพื้นที่ของเชียงใหม่ เราเกิดและเติบโตในเชียงใหม่ ปัญหาต่างๆ ที่เราได้รับผลกระทบเกิดจากความซ้ำซ้อนของระบบราชการ สิ่งที่อยากจะผลักดัน คือการกระจายอำนาจให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เนื่องจากเป็นหมุดหมายสำคัญในการแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็น การเมือง เศรษฐกิจ ปากท้อง รวมไปถึงปัญหาต่างๆ ที่สะสมมานานตั้งแต่ 30-40 ปีมาแล้ว
-มีแนวทางแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ในจังหวัดเชียงใหม่ แบบระยะยาว อย่างไรบ้าง?
เราจะทำทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ที่ประกาศไปแล้วในนโยบายของพรรคก้าวไกลว่า ภายในวันที่ 1 มกราคม 2567 จะมอบจำนวนเงิน 3 ล้านบาทต่อตำบลในหมู่บ้านที่อยู่เขตป่า ทำการบริหารจัดการเชื้อเพลิง หรือมีสวัสดิการให้กับอาสาสมัครไฟป่าของหมู่บ้านในการจัดการเชื้อเพลิงซึ่งเป็นไฟในประเทศ มีการจัดทำคลีนรูม เพื่อเป็นห้องปลอดฝุ่นให้กับพี่น้องประชาชนในหมู่บ้าน อาจจะใช้ศาลาชุมชนหรือห้องสมุดประชาชนที่มีอยู่แล้วในการทำ หรือถ้าเอกชนเข้ามาลงทุนในการทำคลีนรูมนี้ ก็สามารถนำค่าใช้จ่ายตรงนี้ลดหย่อนภาษีได้ รวมไปถึงมีการตรวจเช็กสภาพรถขนส่งสาธารณะ เช่น รถแดง เพื่อลดฝุ่นควัน เพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตเมือง ในส่วนของแผนระยะยาวก็จะผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด ปลดระวางโรงไฟฟ้าถ่านหินภายใน 8 ปี
ขณะเดียวกัน แผนระยะสั้นระยะยาวก็ต้องอาศัยอำนาจจากผู้ว่าราชการจังหวัด เพราะผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้งสามารถตอบสนองปัญหาอย่างทันท่วงที มีงบประมาณชัดเจน การแก้ไขปัญหาของผู้ว่าราชการจังหวัด อย่างเช่นฝุ่น PM2.5 ก็สามารถตรวจสอบโดยสภาพลเมือง ซึ่งเป็นประชาชนในแต่ละอำเภอที่ได้รับการคัดเลือกมาให้เป็นกลไกในการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดได้
-คิดอย่างไรกับคนที่บอกว่า นโยบายส่วนมากของก้าวไกลเป็นประชานิยม?
ไม่เห็นด้วยกับคำนี้ เพราะในเรื่องของรัฐสวัสดิการ หรือรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าทุกช่วงวัย ส่วนตัวไม่ได้มองว่าเป็นนโยบายประชานิยมเพื่อการหาเสียง แต่มองไปถึงสิทธิที่ประชาชนทุกคนควรได้รับอย่างเท่าเทียมกันเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายตั้งแต่เด็กจนถึงวัยเรียน วัยทำงาน และผู้สูงอายุ เมื่อมีการเสียภาษีต่างๆ แต่สวัสดิการยังไม่ได้มอบให้กับประชาชนเท่าที่ควร สวัสดิการแห่งรัฐ ก็ต้องมีการพิสูจน์ความจน อย่างที่ผ่านมาสถิติกว่า 40% คนจนหลุดออกจากระบบสวัสดิการแห่งรัฐ เพราะฐานข้อมูลไม่ตรงกับสิ่งที่ประชาชนเป็นอยู่ การพิสูจน์ความจนเหล่านี้เป็นสิ่งไม่จำเป็น ต้องเกิดการจ่ายอย่างถ้วนหน้าเท่าเทียมกันทุกคน โดยผ่านเลขบัตรประชาชนได้เลย คิดว่าไม่ใช่นโยบายประชานิยม แต่เป็นนโยบายของทุกคน นโยบายสิทธิที่ทุกคนควรได้
-ในฐานะว่าที่ ส.ส.เชียงใหม่ เขต 1 พรรคก้าวไกล ยินดีร่วมงานกับทุกพรรคหรือไม่?
ทางพรรคก้าวไกลมีอุดมการณ์ที่ชัดเจน มีนโยบายที่จะผลักดันภาระทางสังคมต่างๆ ยินดีร่วมงานกับพรรคที่เป็นฝั่งประชาธิปไตย หรือนั่งพรรคไหนก็ตามที่ไม่ได้เป็นนั่งร้านของ คสช. เพื่อผลักดันประเด็นทางสังคมร่วมกับเรา
-ขอเหตุผล ที่จังหวัดเชียงใหม่ควรได้เลือกผู้ว่าราชการจังหวัด?
ไม่ใช่แค่จังหวัดเชียงใหม่ที่ควรได้เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด มีบางพรรคการเมืองบอกว่าอาจจะต้องเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเฉพาะจังหวัดที่มีศักยภาพก่อน แต่การผลักดันกฎหมายนี้ ไม่ได้มองว่าจังหวัดไหนมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน แต่ส่วนตัวมองว่าโครงสร้างอำนาจบริหารของภาครัฐมีความซ้ำซ้อนกันอยู่ การแก้ไขปัญหาที่ซ้ำซาก หมักหมม ไม่ได้มีแค่จังหวัดเชียงใหม่ ควรทำพร้อมกันทุกจังหวัด
-ปัญหาเร่งด่วนที่สุด ที่คิดว่าต้องแก้ไขทันทีถ้าได้เป็นรัฐบาล?
ยังยืนยันที่ การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต ใน 100 วันแรกจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 และเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ถ้าทุกอย่างที่กล่าวมาไม่เกิดการแก้ไข ทุกอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้น เช่น การผลักดัน พ.ร.บ.ปากท้อง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม พ.ร.บ.สวัสดิการ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เร่งด่วนต้องทำทันทีที่ได้เป็นรัฐบาลก้าวไกล
-ทราบมาว่า สนใจเรื่อง ‘จังหวัดจัดการตนเอง’ มีแนวทางผลักดันอย่างไร ทำไมเชียงใหม่ควรได้จัดการตนเอง?
ด้วยจังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดริเริ่มในการที่จะทำ พ.ร.บ.เชียงใหม่มหานคร ตั้งแต่ปี 2554 พยายามที่จะยื่น พ.ร.บ.นี้ในสมัยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น แต่ก็โดนรัฐประหารไปก่อน ทำให้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ ไม่ได้รับการดำเนินการต่อ ทางภาคประชาสังคม ประชาชนชาวเชียงใหม่ มีความตื่นตัว ตื่นรู้มากขึ้น เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากความซ้ำซ้อนของระบบราชการ คิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับจังหวัดเชียงใหม่ในการผลักดัน และจะผลักดันผ่านภาคประชาสังคมเดิม เครือข่ายเดิม และขยายไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของนักการเมือง แต่เป็นเรื่องของทุกคน เมื่อเกิดจังหวัดจัดการตนเองแล้ว มีผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนแล้ว การจ้างงานในพื้นที่เอกชนก็มีมากขึ้น นักลงทุนก็กล้ามาลงทุนมากขึ้น ระบบโครงสร้างพื้นฐานก็จะดีขึ้น รวมไปถึงนักศึกษาที่เพิ่งจบจากสถาบันการศึกษาที่อยากทำงานที่เชียงใหม่ จะต้องไม่ดิ้นรนไปทำงานที่กรุงเทพมหานคร จะเกิดการจ้างงาน เงินในกระเป๋าจะได้เพิ่มขึ้น