กรอบเวลา 60 วัน ถ่วงรั้งตั้งรัฐบาลอืด?

กรอบเวลา 60 วัน ถ่วงรั้งตั้งรัฐบาลอืด?

หมายเหตุความเห็นและข้อเสนอนักวิชาการกรณีการพิจารณารับรองผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีความล่าช้าเกินไปหรือไม่ แม้กฎหมายกำหนดให้รับรองผลการเลือกตั้งภายใน 60 วัน นับจากวันเลือกตั้ง ขณะเดียวกันกระแสสังคมต้องการให้รับรองผลการเลือกตั้งโดยไว เพื่อให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้เร็วขึ้นกว่าไทม์ไลน์ที่กำหนดไว้

โอฬาร ถิ่นบางเตียว
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

Advertisement

หากให้มองบทบาท กกต.กับการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ.2566 ที่ผ่านมา ในส่วนของการรับรอง ส.ส. ส่วนตัวมองว่าช้ามากและผิดปกติ ก่อนหน้านี้ กกต.มีสัญญาณออกมาว่า จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.ไปก่อนโดยไว เพื่อให้พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง มีแนวทางในการจัดตั้งรัฐบาล แต่วินาทีนี้กลับช้าผิดปกติ สร้างความคลางแคลงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. คิดว่าน่าจะมีปัญหาในเรื่องกระบวนการรวบรวมข้อมูล ที่ไม่ได้วางให้เป็นระบบมาตั้งแต่ต้น พอมีปัญหาข้อร้องเรียน มีปัญหาเรื่องบัตรเขย่ง มีปัญหาเรื่องบัตรเสียจำนวนมาก ปัญหาเหล่านี้เมื่อประกาศรับรอง ส.ส.ไปแล้ว จะตอบปัญหาให้กับสังคมไม่ได้ ก่อนหน้านี้มีปัญหาเกี่ยวกับการเลือกตั้งมากมาย แต่ กกต.ตัดบทไม่ยอมตอบ การที่ไม่ตอบทำให้มีปัญหาหมักหมมมาที่ กกต. ดีไม่ดี ไม่กล้าประกาศรับรองเลือกตั้ง ส.ส. และลากยาวไปเลย

การรายงานผลการเลือกตั้งผ่านระบบโซเชียลทั่วประเทศ โดยเอาใบนับคะแนนมาลงให้สังคมได้รับทราบมีทั้งบัตรดี บัตรเสีย ผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง คิดว่าไม่มีปัญหาในเรื่องการรายงานผลการเลือกตั้ง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการร้องเรียนที่ กกต.ไม่สามารถตอบได้ อาทิ บัตรเสีย บัตรเขย่ง และมีหลักฐานพยานที่ดีกว่า กกต.ไม่สามารถตอบคำถามได้เลย เนื่องจากเมื่อตอบไปอาจส่งผลกระทบต่อการบริหารงานเลือกตั้งทั้งหมด จึงเลือกที่จะไม่ตอบ และไม่ประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส.

กรณีที่ ส.ส.ได้รับการเลือกตั้ง โดยไม่มีข้อร้องเรียนเรื่องทุจริตการเลือกตั้ง แต่ก็ยังไม่รับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส. มองว่าเป็นความล่าช้าของ กกต. คือ ความไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน และอาจจะมีวาระซ่อนเร้นบางประการของ กกต. ส่วนการให้ใบเหลือง ใบแดง ไม่มีเกิดขึ้นถือว่าผิดปกติมาก คือ อาจจะรับรองไปก่อนทั้งหมด ส่วนใบเหลือง ใบแดง จะให้ทีหลัง ซึ่งเรื่องนี้จะส่งผลให้การเลือกตั้งซ่อมสิ้นเปลืองงบประมาณ และยังทำให้คนขาดความสนใจในการที่จะไปเลือกตั้ง จะส่งผลให้มีการทุจริตการเลือกตั้ง มีการซื้อสิทธิขายเสียงกันเพิ่มมากขึ้น

Advertisement

การที่ไม่ยอมรับรองผลการเลือกตั้งของ กกต. มองว่ามีข้อร้องเรียนจำนวนมาก สุดท้าย กกต.จะแบกรับภาระทั้งหมด จึงไม่ยอมประกาศผลการเลือกตั้ง และคงรอประกาศผลการเลือกตั้งตูมเดียว แล้วไปสอยทีหลัง เหมือนกับ กกต.จะผลักภาระออกจากตัวเองให้มากที่สุด คิดว่าไปเลือกตั้งซ่อมทีหลัง ประชาชนจะสนใจการเลือกตั้งน้อยลง ทำให้ กกต.ลดแรงกดดัน ซึ่งจะส่งผลต่อการทุจริตการเลือกตั้งง่ายขึ้นอีกด้วย

กรณีที่ กกต.รับรองผลการเลือกตั้งช้า จะส่งผลต่อการบริหารประเทศเหมือนกัน เพราะจะส่งผลให้การจัดตั้งรัฐบาลช้าออกไปอีกด้วย ส่วนช่องโหว่ของ กกต.คือ ไม่ทำงานตามแผน ที่ได้วางเอาไว้ การสื่อสารที่ล้มเหลวของ กกต.ยิ่งทำลายความเชื่อมั่นในการทำงานของ กกต.ให้ตกต่ำลงไปอีก ที่สำคัญยังไม่มีการประกาศ หรือให้ความชัดเจนว่าจะรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อใด รวมทั้งกระบวนการข้อร้องเรียนก็ไม่มีการชี้แจงว่าจะดำเนินการอย่างใด โดย กกต.เลือกที่จะไม่สื่อสารและทำความเข้าใจกับประชาชน

ส่วนตัวมอง กกต.ทำงานอิงระบบราชการ ทั้งที่สมควรจะทำงานในลักษณะเชิงรุก กึ่งราชการกึ่งเอกชนด้วยซ้ำไป แต่ กกต.ทำงานแบบข้าราชการ จึงไม่สามารถบริหารจัดการได้ทันท่วงทีกับความหวังของประชาชนในขณะนี้ ส่วนกรณีที่กฎหมายได้ให้อำนาจ กกต. อันเชื่อได้ว่า ปรากฏว่าไม่ยอมใช้ มองว่า กกต.กลัวโดนฟ้อง โดยผลักภาระไปให้ประชาชน ไปให้พรรคการเมืองทั้งหมด โดยพยายามจะลอยตัวออกจากปัญหาทั้งหมด ไม่ตัดสินใจอะไรเลย ท้ายที่สุดก็ไปอยู่ที่ศาล

ส่วนการจะเร่งการรับรองผลการเลือกตั้ง ในเรื่องนี้พรรคการเมือง และประชาชนจะต้องมีการกดดัน หรือมีการชุมนุม หากมองการรับรองผลการเลือกตั้งของประเทศตุรกีได้อย่างรวดเร็ว อาจจะเป็นเพราะกลไกการเลือกตั้งมีประสิทธิภาพดีกว่าประเทศไทย การทำงานเป็นระบบมากกว่า และอาจจะมีวาระซ่อนเร้น หรือโดนสั่งจากอำนาจนอกระบบน้อยกว่าประเทศไทย แต่ประเทศไทยเต็มไปด้วยกลไกอำนาจเยอะแยะมากมาย ในโครงสร้างของการเมืองไทย ประกอบกับผลการเลือกตั้งไม่เป็นไปตามกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มีการคาดหวังไว้ จึงไม่แปลกที่ กกต.จะต้องประวิงเวลามากพอสมควร ความจริงช่วงนี้ประชาชนน่าจะกดดัน กกต.ได้แล้ว เพราะการรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.นานผิดปกติ หาก 3 วัน 7 วันยังไม่สื่อสารให้ประชาชนได้รับทราบ ถึงเหตุล่าช้าในการรับรองผลการเลือกตั้ง ประชาชนก็อาจจะออกมาประท้วงได้เหมือนกัน

ส่วนช่วงที่ กกต.ไปดูงานเลือกตั้งต่างประเทศ ขณะที่กำลังจะมีการเลือกตั้ง เห็นว่าเป็นการใช้งบประมาณภาษีอากรของประชาชน แต่ไม่เกิดมักเกิดผลตามที่ไปดูงานกันมาเลยกับการเลือกตั้งที่ผ่านมา สุดท้ายแล้วไม่มีอะไรชี้แจงทั้งผู้ร้องเรียน หรือผู้ถูกร้องเรียน ทำให้สร้างความอึมครึมทั้งหมดเลย จนถึงวันนี้การเลือกตั้งหลายพื้นที่ พบว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งอย่างชัดเจน แต่ กกต.ยืนยันว่าไม่มี และตัดบทไปเลย ทั้งที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งมีหลักฐานอย่างชัดเจน ดังนั้น ทางพรรคการเมือง รวมทั้งประชาชนจะต้องออกมากดดัน กกต. ให้ประกาศผลการเลือกตั้ง หากยังชักช้าอาจจะรุนแรงถึงขั้นรวมตัวขับไล่ กกต.ก็ได้

หลังจากนี้ไป กกต.อาจจะต้องออกมาสื่อสาร พร้อมทั้งขอโทษสังคม และบอกสาเหตุถึงความล่าช้าในการรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น หรือหากประชาชน หรือสังคมไม่เชื่อมั่นผลการเลือกตั้ง ส.ส. ในความเป็นจริง กกต.ควรลาออกไปเลย

วันวิชิต บุญโปร่ง
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

แม้ว่ากรอบจะให้อำนาจ กกต.ใช้เวลาพิจารณารับรองผลภายใน 60 วัน แต่ถ้า กกต.ไม่ประเมินฉากทัศน์ ความคาดหวังของผู้คนที่ต้องการให้ฟอร์มรัฐบาลใหม่อย่างรวดเร็ว ก็ไม่เป็นการดีต่อ กกต. ในการที่สังคมภายนอกจะมองว่า มีเจตนายื้อเพื่อดึงระยะเวลาออกไปหรือไม่ หรือเรื่องร้องเรียนนั้นมากมายจริงๆ จน กกต.ต้องใช้เวลาพิจารณา

แต่จากที่ผ่านมาในอดีต สิ่งที่ กกต.ชุดเก่าๆ เคยทำคือ การรับรองผลอย่างน้อย 95 เปอร์เซ็นต์ของผู้ได้รับการเลือกตั้ง หรือจะรับรองไปก่อนทั้งหมดแล้วไปดำเนินการสอยภายหลัง ก็เคยมีมาแล้ว ไม่ถือว่าผิดกติกาแต่อย่างใด ถ้าตัดสินใจแบบนั้นเท่ากับว่า กกต.คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน ไม่ปล่อยให้ประเทศเกิดภาวะสุญญากาศ ทำให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะดีต่อภาพลักษณ์ประเทศ ต่อความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติ และต่อความมั่นใจของประชาชนที่กำลังรอคอยนโยบายใหม่ๆ เพื่อการขับเคลื่อนต่อไปในอนาคต ดังนั้น กกต.ก็มีวิธีการที่จะตัดสินใจได้

ทั้งหลายทั้งปวง แม้ว่าประธาน กกต.จะบอกว่า พยายามรับรองให้เร็วและไม่ช้า นำไปสู่การที่คนตีความต่างๆ นานาว่า ให้เร็วและไม่ช้า คือ ระยะเวลาเท่าไหร่ ภายในเดือนมิถุนายน หรือจะก่อนครบ 60 วันเพียงไม่กี่วัน อย่างนี้หรือไม่ เพราะอย่าลืมว่าการเมืองไทยอยู่ในภาวะความไม่ชัดเจน ซึ่งนำไปสู่การทำนายทายทัก หรือการดักคอทางการเมืองรายวัน ทำให้บรรยากาศของผู้คนยิ่งเกิดความขัดแย้งมากขึ้น

ทั้งนี้ การที่จะมีม็อบไปยื่นหนังสือจี้ กกต.ในวันที่ 8 มิถุนายนนี้ แม้ว่าอาจจะไม่มีผล แต่เป็นการส่งสัญญาณว่าให้ กกต.เร่งประกาศผลเพื่อนำไปสู่ความมั่นใจ เพื่อปิดช่องทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มที่พยายามจะจัดตั้งรัฐบาลแข่ง หรือแนวคิดที่เคยมีคนตั้งคำถามถึงรัฐบาลเสียงข้างน้อย ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพราะบรรยากาศทางการเมืองผิดปกติมาก เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งของไทยในอดีต ไม่ว่าการเลือกตั้งทั่วไป หรือแม้กระทั่งเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ซึ่งธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไปและมารยาท คือ การที่ผู้มีอำนาจชุดเก่า โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับผู้ที่กำลังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งใหม่

ส่วนกรณีประเทศตุรกี เลือกตั้งวันเดียวได้ผู้นำประเทศแล้ว ถามว่าอะไรคืออุปสรรคสำหรับไทยที่ทำให้ประกาศผลได้ช้า สำหรับผมคิดว่า ประเทศที่มีระบบการเลือกตั้งที่โปร่งใสจนประชาชนเกิดความมั่นใจ ไม่เคลือบแคลงสงสัย การรับรองผลย่อมรวดเร็ว ในหลายประเทศที่รับรองผลได้อย่างเร็วบางทีเขาก็ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ซึ่งจะช่วยรับรองผลไปในตัว เพราะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคะแนน หรือโกงได้ การใช้เทคโนโลยีจึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ และระยะเวลาก็ชัดเจนว่า รัฐบาลใหม่ผู้นำคนใหม่ในอนาคต จะเข้ามาดำรงตำแหน่งเมื่อไหร่ เพราะประชาชนเห็นแล้วมั่นใจได้ว่าระบบการเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรม

แต่ปรากฏว่าการเลือกตั้งของไทยเปิดช่องไว้ถึง 60 วันที่จะรับรองผล อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็เห็นแล้วว่า แม้กระทั่งในการเลือกตั้งล่วงหน้า 7 พ.ค. จนถึงวันเลือกตั้งทั่วไป 14 พ.ค. การจัดเลือกตั้งเกิดปัญหา ที่ทำให้หลายคนรู้สึกไม่สบายใจ กระทั่งบัตรเสียที่มีมากมายจนเกินไป เป็นหลักล้านใบ นำไปสู่ข้อสังเกตในโลกโซเชียลว่า การตีความของเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยนั้น ค้านสายตา ค้านความรู้สึกคนทั่วไปที่มองว่าเป็นบัตรดี แต่ถูกตีเป็นบัตรเสีย ดังนั้นวิจารณญาณของเจ้าหน้าที่มีปัญหา กกต.ไม่ได้ซักซ้อมการให้คำอธิบายต่อเจ้าหน้าที่ประจำหน่วย ทำให้ประชาชนรู้สึกว่า งบประมาณจัดเลือกตั้งเกือบ 6,000 ล้านบาท คุ้มค่าหรือไม่ในการจัดการเลือกตั้งที่ผ่านมา

ส่วนเรื่องกระบวนการส่งต่อคะแนนจากหน่วย ไปยัง กกต.ส่วนกลางนั้น มันก็เป็นเรื่องตลกขบขันที่ว่า ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งในทุกประเทศ ที่ระบบการเลือกตั้งจะต้องดีขึ้นทุกครั้ง มีแต่ประเทศไทยที่การเลือกตั้งถดถอยและมีปัญหามากมายกว่าเดิม ภาพที่คนทั่วไปมอง เท่ากับว่าระบบการเลือกตั้งของเราถอยหลังลงคลองหรือเปล่า แทนที่มาตรฐานจะสูงมากขึ้น ดังนั้นคิดว่าในอนาคตถ้าเป็นไปได้ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สิ่งหนึ่งที่ต้องเร่งปฏิรูป คือ ปฏิรูประบบการเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด เพื่อทำให้บรรยากาศของประชาชนเกิดความเชื่อมั่น

ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

หากตอบในเชิงของตัวบท ข้อกำหนดทางด้านเวลาที่ให้อำนาจในการรับรอง ส.ส.นั้น กกต.ก็สามารถอ้างได้ว่าปฏิบัติตามกรอบของเวลาที่กำหนดในกฎหมาย แต่ถ้ามองในด้านของการปฏิบัติ เทคโนโลยี และการตอบโจทย์ต่อการเลือกตั้ง จะเห็นว่า กกต.ทราบผลคะแนนตั้งแต่วันถัดมาหลังการเลือกตั้ง ภายใต้เครื่องมือเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตรงนี้ก็น่าจะทำให้ กกต.สามารถปรับปรุงให้มีการประกาศรับรอง ส.ส.ได้เร็วขึ้นอย่างน้อยภายใน 7-10 วัน ไม่ใช่ยืดยาวเช่นนี้

การยิ่งยืดเยื้อในการประกาศรับรอง ยิ่งทำให้คนระแวงสงสัยต่อ กกต.ในการจัดการบริหารการเลือกตั้ง ยิ่งนานวันก็ยิ่งทำให้ กกต.ตกเป็นจำเลยของสังคมไทยที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่มีมากล้น จากจำนวนเสียงของประชาชนที่ให้ 8 พรรคการเมืองรวมกันกว่า 26 ล้านเสียง ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่า กกต.พยายามที่จะยืดยาด

จำได้ว่าก่อนจะมี กกต. ชุด คสช.การเลือกตั้งของไทยในช่วงที่ได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือช่วงปี พ.ศ.2535-2548 เห็นว่าในค่ำคืนของการเลือกตั้งนั้น คะแนนเลือกตั้งจะชัดเจนทันทีว่าใครได้รับชัยชนะในการเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการรับรองของ กกต.เลย เพราะตอบสนองรวดเร็วอย่างมาก พูดง่ายๆ คือ เมื่อเกิดกระบวนการเลือกตั้งขึ้น ในค่ำคืนวันนั้นก็รู้ถึงชัยชนะและความพ่ายแพ้ของพรรคการเมืองแล้ว ตรงจุดนี้จะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหารตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 จนกระทั่งการรัฐประหารปี พ.ศ.2557 ที่ตระหนักดีว่า กกต.กลายเป็นเครื่องมือของฝ่ายคณะรัฐประหารในการที่จะทำให้ผลของการเลือกตั้งไม่เป็นไปตามเจตจำนงของประชาชนอย่างแท้จริง

มองว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นในการเปลี่ยนรัฐบาล หรือจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ควรเกิดขึ้นภายใน 1 เดือนหลังการเลือกตั้ง หมายความว่า 15 วันหลังการเลือกตั้งก็ควรเปิดสภาได้ แล้วจัดตั้งรัฐบาลใน 15 วัน หรือภายในเดือนครึ่งก็ได้รัฐบาลใหม่แล้ว ในระบอบที่เป็นประชาธิปไตยและตอบโจทย์ต่อการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล จากการเลือกตั้งที่ผ่านมา ทำให้รู้ว่ากำลังจะได้รัฐบาลชุดใหม่ นำโดยผู้นำคนใหม่ แค่นี้ก็ได้กลิ่นความเจริญ กลิ่นแห่งความหวัง หรือถ้าผ่านการเลือกตั้งแล้วได้ผู้นำคนเดิม นั่นหมายความว่าผู้นำคนเดิมมีประสิทธิภาพและเป็นที่นิยมของประชาชนที่จะได้อยู่ต่ออีก 1 สมัย ส่วนตัวคิดว่าประเพณีพวกนี้ เป็นประเพณีที่จะต้องทำให้กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งให้ช่วยย่นย่อเวลาที่จะจัดระบบระเบียบ ซึ่งเคยทำมาแล้วในอดีต

ดังนั้น ช่องโหว่ หรืออุปสรรคที่ทำให้ กกต.ประกาศผลได้ล่าช้า เป็นเพราะตกอยู่ภายใต้การรัฐประหารที่เปลี่ยนแปลงกฎกติกาการเลือกตั้ง วัฒนธรรมประเพณีประชาธิปไตยตลอดเวลา นี่คืออุปสรรคที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถขับเคลื่อนกงล้อแห่งการพัฒนาประเทศได้ ดังนั้น การที่จะฟื้นฟู สร้างประชาธิปไตย สิ่งที่จะต้องรังเกียจเดียดฉันท์ให้มากที่สุด คือ การรัฐประหาร จะต้องทำให้กฎกติกาของการเลือกตั้งและวัฒนธรรมทางการเมือง เดินไปอย่างใช้ระยะเวลาที่น้อยที่สุด

ข้อเสนอแนะที่ง่ายที่สุดเลย คือ โละ กกต.ชุดนี้ทิ้ง และให้มี กกต.ที่มาจากการสรรหาโดยสภาผู้แทนราษฎร เพราะหาก กกต.ยึดโยงกับประชาชน จะทำให้ระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนเพื่อประเทศชาติมากกว่า กกต.ที่มาจากการแต่งตั้งของวุฒิสภา หรือ คสช.

จะเห็นว่าในตอนนี้ กกต.ที่ไม่ได้มาจากประชาชน จะทำให้กระบวนการเลือกตั้งเป็นแบบอนาล็อก ทำให้เกิดขั้นตอนบัตรเขย่ง บัตรเสียจำนวนหลายล้านใบ คิดว่าต้องเปลี่ยนกฎหมาย แก้ในรัฐธรรมนูญว่าที่มาของ กกต.ต้องยึดโยงกับประชาชนให้ได้ก่อน หลังจากนั้น กกต.ชุดใหม่ที่มาจากพลังอำนาจของประชาชน จะแสวงหาวิธีการที่จะรักษาเสียงของประชาชน ทำให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่าง อิสระ ยุติธรรม และมีประสิทธิภาพ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image