นักวิชาการดัง จี้ตั้งกก.ไต่สวน ปมข้อเสนอแก้ปัญหาชายแดนใต้ถูก ‘ป้ายสี’ เป็น ‘แบ่งแยกดินแดน’ ลั่นไม่อาจรับได้

แฟ้มภาพ

นักวิชาการดัง จี้ตั้ง กก.ไต่สวน ปมข้อเสนอแก้ปัญหาชายแดนใต้ถูก ‘ป้ายสี’ เป็น ‘แบ่งแยกดินแดน’ ลั่นไม่อาจรับได้

เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติ ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง เผยแพร่บทความมีเนื้อหาตอนหนึ่งกล่าวถึงข้อเสนอต่อรัฐบาลใหม่ให้สร้างบทบาทอาเซียนยกระดับการเปิดทางเศรษฐกิจ การเมือง สร้างเสถียรภาพและสันติสุขในภูมิภาค รักษาดุลยภาพมหาอำนาจโลก สร้างพื้นที่ปลอดการแข่งขันทางการทหารและอาวุธในภูมิภาค หยุดเครือข่ายปรปักษ์ประชาธิปไตยอาเซียน สร้างความขัดแย้งไทยเมียนมา

การที่เครือข่ายปรปักษ์ประชาธิปไตยในไทยใช้กลไกของระบอบเผด็จการทหารพม่าให้สัมภาษณ์โจมตีพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยและปฏิบัติการด้านข่าวสารแบบบิดเบือน ว่า จะสร้างความขัดแย้งกับรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า สร้างความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทยเมียนมาโดยรับแผนการมาจากสหรัฐอเมริกาหรือซีไอเอก็ตาม การกระทำดังกล่าวถือว่า จะสร้างความเสียหายต่อประเทศ และเป็นการชักศึกเข้าบ้าน เพียงหวังโค่นล้มรัฐบาลใหม่ฝ่ายประชาธิปไตย

นอกจากนี้ยังมีการปลุกปั่นบิดเบือน ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ใส่ร้ายป้ายสีว่า เป็นความพยายามแบ่งแยกดินแดน การดำเนินการดังกล่าวหากทำโดยอดีตนายทหารที่อยู่ในคณะรัฐประหารก็ดี หรือ นายทหารในกองทัพก็ดี ถือว่า เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ และ ต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาไต่สวนข้อเท็จจริงดังกล่าว เพราะเป็นการจุดเชื้อไฟแห่งความขัดแย้งรุนแรงทั้งภายในประเทศ (กรณีสามจังหวัดชายแดนใต้) และ ระหว่างประเทศ (กรณีไทยเมียนมา)

Advertisement

ขอเสนอให้รัฐบาลใหม่ดำเนินนโยบายพัวพันอย่างสร้างสรรค์ต่อประเทศเมียนมา และไทยควรมีบทบาทนำในการเป็นเจ้าภาพในการเจรจาเพื่อให้เกิดสันติภาพ การกลับคืนสู่ประชาธิปไตยและการเคารพสิทธิมนุษยชนในเมียนมา รัฐบาลใหม่ฝ่ายพรรคประชาธิปไตยของไทยสามารถริเริ่มจัดการเจรจาสันติภาพในกรุงเทพ ระหว่าง คณะรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (National Unity Government) และ กองกำลังพิทักษ์ประชาชน (People’s Defence Force) ของขบวนการต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทหาร กับ รัฐบาลเผด็จการทหาร มิน อ่อง หล่าย การเจรจาสันติภาพยุติสงครามกลางเมืองก็เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนจำนวนมาก เพื่อสันติสุขและเสถียรภาพของภูมิภาคอาเซียนแล้ว ยังเป็นไปเพื่อการบรรเทาภาระที่ประเทศไทยต้องดูแลผู้อพยพที่หนีภัยสงครามกลางเมืองเข้ามาตามแนวชายแดนจำนวนมากอีกด้วย นอกจากยังช่วยลดบทบาทของขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติที่ใช้ชายแดนไทยพม่าเป็นทางผ่าน

รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวอีกว่า การดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบนิ่งเฉยต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน ปราบปรามขบวนการประชาธิปไตยอย่างไร้มนุษยธรรมในเมียนมาของรัฐบาลไทยที่ผ่านมา ควรต้องมีการทบทวนครั้งใหญ่ ขณะนี้ต้องร่วมกันคัดค้านการขยายผลสงครามกลางเมืองในพม่าบานปลายเพื่อหวังผลต่อการเมืองในประเทศไทยของเครือข่ายจารีตอนุรักษ์นิยมขวาจัดสุดโต่ง เครือข่ายประชาธิปไตยต้องร่วมกันหยุดทฤษฎีสมคบคิดขยายความขัดแย้งตามแนวชายแดน อ้างความไม่สงบ สนับสนุนรัฐบาลสืบทอดอำนาจเสียงข้างน้อยในไทยให้อยู่ในอำนาจต่อไป

“การดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยต้องยึดถือความเป็นกลาง ไม่เอียงข้างมหาอำนาจใดมหาอำนาจหนึ่ง และ ไทยไม่ควรเข้าร่วมในความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจที่อุบัติขึ้นเป็นระยะๆ หากมีปัจจัยหรือเหตุการณ์ใดมาบังคับ ต้องยึดถือผลประโยชน์แห่งชาติและผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นหลักในการตัดสินใจ วิเทโศบายของไทยต้องไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของผู้มีอำนาจ แต่ต้องเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของประเทศโดยรวมอย่างแท้จริงบนพื้นฐานของสันติภาพ มนุษยธรรมและความรุ่งเรืองร่วมกัน การเดินหน้าอย่างเต็มที่ในการเปิดกว้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมผ่านข้อตกลงระหว่างประเทศในระดับพหุภาคีจึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลใหม่ต้องเอาใจใส่” รศ.ดร.อนุสรณ์ระบุ

Advertisement

อ่านเพิ่มเติม : รศ.ดร.อนุสรณ์ หวั่นเกิดวิกฤตการเมือง ปมไม่ยอมรับผลเลือกตั้ง ชี้ ‘นิติสงคราม’ ทำการคลังไร้เสถียรภาพ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image