‘ปดิพัทธ์’ สวน วิษณุ เข้าใจ ม.82 คลาดเคลื่อน ยันส.ว.ร้องส.ส.ไม่ได้ ลั่นถ้านั่งปธ.สภา พร้อมรับผิดชอบชงชื่อนายกฯ

แฟ้มภาพ

‘ปดิพัทธ์’ สวน วิษณุ เข้าใจ ม.82 คลาดเคลื่อน ยัน ส.ว.ร้อง ส.ส.ไม่ได้ ลั่นถ้านั่ง ปธ.สภา พร้อมรับผิดชอบชงชื่อนายกฯ

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ว่าที่ ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ชี้แจงกรณีที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามสื่อมวลชนระบุผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี หากอยู่ระหว่างถูกฟ้องร้องมีคดีความ และมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ถ้าศาลสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ จะไม่สามารถเสนอชื่อผู้นั้นเป็นนายกฯได้ โดยอ้างกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เมื่อปี 2562 ว่า นายวิษณุคงเข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อน ทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนแปลงบ่อย ตัวบทกฎหมายก็มีจำนวนมาก โดยขอชี้แจงเป็นรายประเด็นรวม 3 ประเด็น เพื่อให้พี่น้องประชาชนเข้าใจว่าความจริงเป็นอย่างไร

ประเด็นที่ 1 หากมีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพของผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ว่าสิ้นสมาชิกภาพไปแล้วหรือไม่ ซึ่งสำหรับพรรคก้าวไกล ผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ที่ปัจจุบันกำลังถูกบรรดานักร้องทางการเมือง ร้องเรียนกรณีการถือหุ้นไอทีวี เข้าข่ายถือหุ้นสื่อ เป็นลักษณะต้องห้ามในการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3)

นายปดิพัทธ์กล่าวอีกว่า มั่นใจว่านายพิธาสามารถชี้แจงกรณีหุ้นสื่อไอทีวีได้ และเดินหน้าตามกระบวนการสู่การเป็นนายกฯ ตามความคาดหวังของประชาชน แต่หากเรื่องนี้ไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ และศาลเห็นควรให้มีการหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย ก็เป็นการหยุดปฏิบัติหน้าที่ในการเป็น ส.ส.เท่านั้น แต่โดยคุณสมบัติ พิธายังคงเป็นแคนดิเดตนายกฯได้ตามกฎหมาย เนื่องจากเป็นคนละตำแหน่งและคนละกรณี จึงย่อมไม่ส่งผลทางกฎหมายต่อการเสนอชื่อพิธาต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกฯ

Advertisement

ดังนั้น ความเห็นของนายวิษณุที่ว่าถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จะไม่สามารถเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯได้ จึงไม่ถูกต้อง ส่วนกรณีเคยเกิดขึ้นแล้วกับนายธนาธรเมื่อปี 2562 ครั้งเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ขณะนั้นศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายธนาธรหยุดปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2562 และมีการอ่านคำสั่งในวันแรกของการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อลงมติเลือกประธานและรองประธานสภา เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 ต่อมามีการนัดประชุมรัฐสภาในวันที่ 5 มิถุนายน 2562 เพื่อลงมติเลือกนายกฯ ขณะนั้นมีการเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายธนาธร ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ซึ่งไม่ได้มีปัญหาทางกฎหมายใดๆ โดยผลการลงมติของรัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ ชนะจนได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ ดังนั้น ที่นายวิษณุกล่าวว่ากรณีนายธนาธร “โหวตเลือกนายกฯ ไปแล้ว 2 วัน จึงถูกให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ 2 สมัย” นั้น น่าจะเป็นการจดจำช่วงเวลาคลาดเคลื่อน

นายปดิพัทธ์กล่าวว่า ประเด็นที่ 2 กรณีการเข้าชื่อตรวจสอบสมาชิกภาพ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ที่นายวิษณุระบุว่า ถ้าฝั่ง ส.ว.จะยื่นก็ใช้ 25 คน เมื่อกลับไปดูมาตราดังกล่าวเห็นได้ชัดเจนว่ากำหนดให้ ส.ส. ‘หรือ’ ส.ว. จํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก ว่าสมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหนึ่งแห่งสภานั้น สิ้นสุดลง หมายความว่า ให้สมาชิกของแต่ละสภาสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของสมาชิกของสภาเดียวกัน เช่น ส.ส.เข้าชื่อเพื่อตรวจสอบ ส.ส. หรือ ส.ว.เข้าชื่อเพื่อตรวจสอบ ส.ว.จึงไม่ได้หมายความว่าให้ ส.ส.เข้าชื่อเพื่อตรวจสอบ ส.ว. หรือ ส.ว.เข้าชื่อเพื่อตรวจสอบ ส.ส.ตามที่นายวิษณุระบุ ดังนั้น เมื่อนายพิธาเป็น ส.ส. จะให้ ส.ว. เข้าชื่อเพื่อมาตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของพิธา ที่เป็น ส.ส.ตามที่วิษณุกล่าว ก็ดูเป็นความเข้าใจรัฐธรรมนูญผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป

นายปดิพัทธ์กล่าวว่า และประเด็นที่ 3 ต่อคำถามของผู้สื่อข่าวว่า กรณีผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ มีขั้นตอนกฎหมายใดที่ขัดขวางไม่ให้นำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯหรือไม่ และนายวิษณุระบุว่า “ปกติการแต่งตั้งตำแหน่งใดก็ตาม เป็นพระราชอำนาจ กรณีแต่งตั้งข้าราชการประจำ ผู้พิพากษาอัยการอธิบดี หรือแม้แต่ขอประธานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ได้มีข้อตกลงกับสำนักพระราชวังมา 2-3 ปีแล้วว่าให้เข้มงวดกวดขัน ถ้ามี ก็ให้กราบบังคมทูลขึ้นไปว่า มีเหตุแบบนี้อยู่ แล้วจะโปรดเกล้าฯอย่างไร ก็แล้วแต่” โดยในกรณีโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายกฯ ผู้ที่รับผิดชอบคือประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

Advertisement

ทั้งนี้ เห็นว่าการให้ความเห็นของนายวิษณุแบบนี้ แม้เป็นความพยายามอธิบายกระบวนการที่ทำกันมา แต่ต้องไม่ลืมว่าตำแหน่งอื่นๆ ที่ยกตัวอย่างคือข้าราชการประจำ ต่างจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เป็นฝ่ายการเมืองโดยแท้และได้รับความไว้วางใจจากประชาชน การยกมาเปรียบเทียบแบบนี้ จะกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และกระทบต่อพระราชสถานะทรงดำรงความเป็นกลางทางการเมืองและศูนย์รวมจิตใจ ในเมื่อประธานสภาผู้แทนราษฎรในฐานะผู้รับสนองพระบรมราชโองการ เป็นผู้มีอำนาจและต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว นายวิษณุก็ไม่ควรอ้างถึงพระมหากษัตริย์ ซึ่งถ้าเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมรับผิดชอบ

นายปดิพัทธ์กล่าวต่อว่า ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านรัฐบาล รัฐบาลเดิมควรส่งมอบงานให้ว่าที่รัฐบาลใหม่ ตนพูดเช่นนี้ไม่ได้ต้องการละลาบละล้วง หรือล่วงเกินใคร แต่ต้องการร่วมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองใหม่ที่ผู้ได้รับมอบความไว้วางใจจากประชาชนผ่านการเลือกตั้ง จะได้รับส่งมอบงานเพื่อเตรียมความพร้อมเป็นรัฐบาล ทำงานรับใช้ประชาชนต่อไป

“ส่วนการให้ความเห็นของอาจารย์วิษณุ ไม่ทราบว่าให้ความเห็นในฐานะอะไร ถ้าในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ก็คงจะไม่ดีต่อภาพลักษณ์ในการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลเท่าใดนัก เพราะประชาชนจะวิพากษ์วิจารณ์ได้ว่าอาจารย์วิษณุในฐานะรองนายกรัฐมนตรีกำลังชี้นำใคร หรือองค์กรใดอยู่หรือไม่ แต่ถ้าพูดในฐานะนักวิชาการ อดีตอาจารย์สอนกฎหมาย ก็คงห้ามปรามกันไม่ได้ เพราะเป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนคนหนึ่ง” นายปดิพัทธ์กล่าว

อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าจะไม่มีใครหรือองค์กรใด สามารถขัดขวางเจตจำนงของประชาชนที่มอบความไว้วางใจให้พรรคการเมืองทั้ง 8 พรรคกว่า 27 ล้านเสียง จะเป็นพลังให้มุ่งหน้าสู่การจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนจนสำเร็จ เพื่อฟื้นฟูประชาธิปไตย และเพื่อส่งมอบนโยบายในการยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนทุกคน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image