นักวิชาการคาด รบ.ใหม่ปรับงบ’67 ป้อนรัฐสวัสดิการได้แค่ 2 แสนล้าน แนะหั่นงบอื่นมาช่วย

แฟ้มภาพ

นักวิชาการคาดรัฐบาลใหม่ปรับงบ 2567 สนองรัฐสวัสดิการได้แค่ 2 แสนล้านบาท ขาดอีกอย่างน้อย 4.5 แสนล้านบาท ต้องทยอยดำเนินการในปี 2568-2570 หากเร่งทำปี’67 ต้องปรับลดงบประมาณส่วนอื่นเพิ่ม ขยายฐานภาษีและเพิ่มอัตราภาษี หรือก่อหนี้สาธารณะเพิ่ม เชื่อ FDI ไหลเข้าหลังตั้งรัฐบาล คาดทุนจีนลงทุนแตะหนึ่งแสนล้านบาทปีนี้

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 17 มิถุนายน รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คาดว่ารัฐบาลใหม่ปรับงบประมาณปี 2567 สนองรัฐสวัสดิการได้แค่ 2 แสนล้านบาท โดยต้องไปปรับลดงบประมาณในส่วนที่สามารถพอปรับลดได้ในกระทรวงและส่วนราชการต่างๆ ขาดอีกอย่างน้อย 4.5 แสนล้าน หากต้องการจัดสรรให้ครบถ้วนตามนโยบายรัฐสวัสดิการที่หาเสียงเอาไว้ซึ่งต้องใช้เม็ดเงินประมาณ 6.5 แสนล้าน ต้องปรับลดงบกลางฉุกเฉินลงมาอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง

รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวว่า อาจต้องปรับลดงบหมวดป้องกันประเทศและหมวดความสงบภายในประเทศอีก 30% จะได้เม็ดเงินอีกประมาณ 1.06 แสนล้านบาท (46.5 พันล้านบาท+59.568 พันล้านบาท) ในการดูแลสวัสดิการประชาชนเพิ่มเติม ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอตามนโยบายรัฐสวัสดิการ จึงควรทยอยจัดสวัสดิการให้ตามลำดับความจำเป็นในปีต่อๆ ไป โดยหลีกเลี่ยงการก่อหนี้เพิ่ม หรือเพิ่มภาษีใหม่ แต่เน้นเก็บภาษีที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ปรับปรุงประสิทธิภาพรัฐวิสาหกิจให้สามารถส่งเงินเข้ารัฐได้มากขึ้น

รศ.ดร.อนุสรณ์กล่าวต่อว่า หากไม่สามารถปรับลดในส่วนที่เกี่ยวกับหมวดป้องกันประเทศ หรืองบกลางฉุกเฉินหากต้องการทำให้เป้าหมายการดูแลสวัสดิการประชาชนบรรลุตามที่หาเสียงเอาไว้ อาจใช้วิธีขยายวงเงินงบประมาณจาก 3.35 ล้านล้านบาท เป็น 3.45-3.8 ล้านล้านบาท ด้วยเพิ่มการขาดดุลงบประมาณและก่อหนี้มาชดเชย สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพียังคงต่ำกว่าเพดาน 70% หรือเพิ่มรายได้และเก็บภาษีให้สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ในกรอบงบประมาณปี 2567 ไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท หากเร่งทำนโยบายรัฐสวัสดิการปี 2567 ต้องขยายฐานภาษีและเพิ่มอัตราภาษี หรือก่อหนี้สาธารณะเพิ่มอย่างแน่นอน

Advertisement

“การก่อหนี้สาธารณะแม้ยังอยู่ภายในเพดานสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี 70% แต่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงวิกฤตฐานะการคลังในอนาคตได้ นอกจากนี้ เมื่อรัฐบาลเพิ่มรายจ่ายสาธารณะมากเกินพอดีอาจทำให้การใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของภาคเอกชนลดลงก็ได้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยแท้จริงปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการกู้ยืมเงินเพื่อการลงทุนของเอกชนสูงขึ้น จนก่อให้เกิดการชะลอการลงทุนโดยรวมได้ผ่านการลงทุนของเอกชนทางด้านทุน ด้านสวัสดิการสังคมและโครงสร้างพื้นฐานอาจลดลงได้” รศ.ดร.อนุสรณ์ระบุ

อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง มองว่า หากเกิดภาวะ Crowding-out Effect จากการกู้ยืมของรัฐเพื่อเอามาใช้จ่ายอาจทำให้เกิดการเบียดบังแนวทางในการดำเนินการที่ดีกว่า การทยอยดำเนินการและปรับโครงสร้างการใช้จ่ายงบประมาณในปี 2568-2570 เป็นทางเลือกที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม หลังจากจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างมีเสถียรภาพแล้ว เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) น่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการย้ายฐานการลงทุนจากกลุ่มทุนจีนมายังไทยและอาเซียน

“การย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศของกลุ่มทุนจีนเป็นผลมาจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา คาดว่ายอดขอรับส่งเสริมการลงทุนในปี 2566 อาจแตะระดับหนึ่งแสนล้านบาทได้ จากไตรมาสแรกปีนี้ที่มีเม็ดเงินลงทุนอยู่ที่ 25,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80% กว่าๆ เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งจะมีแรงกดดันทางการคลังและภาระทางการคลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว นอกจากนี้ การจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าจากข้อจำกัดในรัฐธรรมนูญและการไม่ยอมรับผลเลือกตั้งของผู้แพ้จะทำให้การจัดทำงบประมาณปี 2567 ล่าช้าไปอย่างน้อย 3-4 เดือน

Advertisement

“ขณะนี้ยอดหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมดอยู่ที่ 10.72 ล้านล้านบาท คิดเป็น 61.13% ของจีดีพี หนี้สาธารณะก้อนนี้ยังไม่รวมภาระผูกพันทางการคลังที่อาจเกิดขึ้นอีกจำนวนไม่น้อยจากโครงการต่างๆ ของรัฐบาลรวมทั้งความเสียหายทางการเงินจากใช้มาตรการกึ่งการคลังผ่านธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ อย่างไรก็ตาม นโยบายการคลัง หรือนโยบายการเงินของไทยจะเกี่ยวข้องกับการจัดการด้านอุปสงค์มากกว่าการจัดการด้านอุปทานโดยเฉพาะการเพิ่มศักยภาพของระบบเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มผลิตภาพของทรัพยากรมนุษย์และทุน” อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ระบุ

รศ.ดร.อนุสรณ์ยังกล่าวถึงการหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐชั่วคราวว่า ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้ยุติแล้ว ทำให้แรงกดดันภาคธุรกิจ ภาคการลงทุนคลายตัวลง พันธบัตรระยะยาวน่าสนใจมากขึ้น ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเล็กน้อยในช่วงสั้น คาดว่าทิศทางราคาน้ำมันโลกไม่ได้กดดันให้เกิดเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากเนื่องจากการลดกำลังการผลิตน้ำมันของโอเปคจะไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก จากการผลิตและอุปทานพลังงานที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกาสามารถชดเชยได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image