‘ประภัสร์’ ค้าน ครม.รักษาการ ไฟเขียวแก้สัญญารถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน หวั่น ทำรัฐเสียหายยิ่งกว่าค่าโง่โฮปเวลล์

‘ประภัสร์’ ค้าน ครม.รักษาการ ไฟเขียวแก้สัญญารถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน หวั่น ทำรัฐเสียหายยิ่งกว่าค่าโง่โฮปเวลล์

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายประภัสร์ จงสงวน แกนนำพรรค พท. อดีตผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และอดีตผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) แถลงกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะมีวาระรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่เห็นชอบให้เอกชนผ่อนชำระค่าสิทธิร่วมลงทุนโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงก์ (ARL) จำนวน 10,671.09 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยและค่าเสียโอกาส ออกเป็น 7 งวด และแก้ไขสัญญาร่วมทุนเงื่อนไขเหตุสุดวิสัย กรณีที่มีการแพร่ระบาดของโรคหรือมีสงครามที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการ ว่า รู้สึกไม่สบายใจและไม่เห็นด้วย เนื่องจาก ครม.ชุดนี้ เป็นรัฐบาลรักษาการจะไม่มีอำนาจแล้ว พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า นำเสนอ ครม.เพื่อทราบ แท้จริงแล้วคือ การอนุมัติตามกฎหมายของอีอีซีใช่หรือไม่

หากเป็นเช่นนั้นจริงจะสร้างปัญหาให้กับโครงการ และสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลชุดใหม่เป็นอย่างมาก เพราะโดยหลักของทางราชการ สัญญาที่ลงนามไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะส่วนที่เป็นสาระสำคัญ โดยคณะกรรมการอีอีซีที่ดูแลโครงการรถไฟฟ้า 3 สนามบิน ที่เสนอ ครม.เพื่อทราบนั้น เป็นสาระสำคัญทั้งสิ้น โดยเฉพาะการจ่ายเงินช่วยเหลือให้บริษัทผู้ได้รับสัมปทาน สัญญาโครงการรถเชื่อม 3 สนามบิน จากเดิมตามสัญญาคือ จ่ายเงินเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการ เปลี่ยนเป็นจ่ายตั้งแต่เริ่มดำเนินการก่อสร้าง ทั้งนี้ ตนทราบมาว่าการแก้ไขสัญญาการก่อสร้างรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน หัวใจสำคัญของโครงการนี้ คือการใช้ประโยชน์จากที่ดินมักกะสันไม่ใช่การก่อสร้างรถไฟฟ้าใช่หรือไม่

Advertisement

นายประภัสร์กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ สัญญาการก่อสร้างดังกล่าวเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2563 จนวันนี้ยังไม่มีการเริ่มก่อสร้างหรือตอกเสาเข็ม ซ้ำยังมีประเด็นพิพาท รวมถึงประเด็นการส่งมอบแอร์พอร์ตลิงก์ ซึ่งตามสัญญาต้องจ่ายเงินการส่งมอบรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ให้ รฟท. แต่กลับพบว่า มีการส่งมอบรถไฟแอร์พอร์ตลิงก์ไปแล้ว แต่จ่ายเงินเพียง 10% ส่วนเงินที่เหลืออีก 90% อยู่ในรายละเอียดของการแก้ไขสัญญาข้างต้น หากไม่พิจารณาอย่างถ่องแท้หรือทำไปโดยความกดดันจากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภาครัฐยิ่งกว่ากรณีค่าโง่โฮปเวล จึงอยากให้ทุกฝ่ายพิจารณาเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนด้วย

“เรื่องนี้หากเป็นจริง คงเป็นกระบวนการที่ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ ผมเชื่อว่าเมื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาทำงาน ผู้ที่เข้ามาดูแลกระทรวงคมนาคมจะพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้น และเหตุผลที่แท้จริงที่ไม่สามารถก่อสร้างโครงการได้ แม้จะอ้างว่าเพราะสถานการณ์โควิด แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันโดยตรง และจนถึงปัจจุบันสถานการณ์โควิดคลี่คลายลงมากแล้วจนเป็นโรคประจำถิ่น เหตุใดจึงไม่เร่งก่อสร้าง เหตุใดต้องแก้สัญญา” นายประภัสร์กล่าว

Advertisement

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่เพิ่มเพื่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image