โหวตนายกฯรอบ2
ตัวแปร-ความเป็นไปได้
ก้าวไกลถอย-เพื่อไทยนำ
หมายเหตุ – ผศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ประเมินทิศทางการเมืองหลังการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี รอบที่ 2 วันที่ 19 กรกฎาคม
มองนัยยะผลการโหวตนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีในรอบแรก ในมุมของ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ยังมีข้อตกลงที่มีเอกภาพ และต้องยอมรับนับถือน้ำใจของพรรคเพื่อไทย ทั้งที่มีการคาดการณ์ว่าอาจจะมีการพลิกโผ หรือเปลี่ยนเกมเล่น แต่พรรคเพื่อไทยก็ยืนยันในข้อตกลง ของ 8 พรรคร่วม เป็นไปในตามหลักการที่มีสัญญาผูกพันกัน
ถ้ามาดูพรรคการเมืองอื่นที่อยู่ในซีก 187 หรือซีกรัฐบาลปัจจุบัน มีนัยยะที่มีความเห็นแตกต่างกันคือ ส.ส.ที่มีความเห็นว่าไม่สนับสนุนพรรคก้าวไกลเลย และ ส.ส.บางคนยังสงวนท่าทีโดยไม่ออกเสียง ก็เป็นนัยยะทางการเมืองเหมือนกัน ภาพสะท้อนไม่ออกเสียงอาจเกี่ยวกับพรรคก้าวไกล หากไม่ใช่นายพิธาจะโหวตให้หรือไม่ เช่น ส.ส.กลุ่มพรรคพลังประชารัฐจะเห็นว่าออกตัวไม่สนับสนุนเต็มที่ ทำให้เห็นว่าไม่โอเคกับพรรคก้าวไกล แต่หากเป็นพรรคเพื่อไทยไม่แน่เหมือนกัน ขณะที่ ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทยเห็นว่ายังสงวนท่าทีอยู่เหมือนกัน หากพรรคก้าวไกลไม่แก้ ม.112 ก็เหมือนจะให้การสนับสนุนนายพิธาด้วย ที่สำคัญพรรคภูมิใจไทยมีทั้งหมด 77 เสียง เป็นคะแนนที่หากโหวตให้ก็ไม่ต้องอาศัยเสียง ส.ว.หรือปิดสวิตช์ ส.ว.ได้เลย แม้พรรคภูมิใจไทยอาจจะไม่ชอบพรรคก้าวไกล แต่ก็พยายามสร้างเงื่อนไขทางการเมือง หากไม่มีเรื่อง ม.112 ก็พร้อมจะปิดสวิตช์ ส.ว. ซึ่งเป็นการทำงานสไตล์ของพรรคภูมิใจไทย
พรรคภูมิใจไทยอาจจะมีการจับกลุ่มกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม และพยายามจะส่งสัญญาณไปหาพรรคอันดับ 2 ว่า ในเมื่อความชอบธรรมเป็นของพรรคเพื่อไทย และยังแสดงให้เห็นว่าหากพรรคเพื่อไทยยังจับมือกับพรรคก้าวไกลก็ไม่มีโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลได้ เหมือนกับพรรคภูมิใจไทยพยายามกดดันพรรคเพื่อไทยควรประเมินตัวเองได้แล้ว และพรรคภูมิใจไทยพยายามทำให้เห็นว่าไม่ยอมรับพรรคก้าวไกล แต่ยอมรับพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีความชอบธรรมเกิดขึ้นแล้วในฐานะพรรคอันดับ 2 อยู่ที่พรรคเพื่อไทยจะตัดสินใจเอาเองว่าจะทำอย่างไร เพราะพรรคพวกรออยู่แล้ว
หากมีการเปลี่ยนขั้ว พรรคเพื่อไทยก็จะต้องโดนวิพากษ์วิจารณ์อยู่แล้ว คือมีราคาที่จะต้องจ่าย ส่งผลให้เกมของพรรคเพื่อไทยไม่มีทางเลือกมากนัก พรรคเพื่อไทยคงต้องประเมินว่า เรื่องไหนจะต้องมีราคาที่ต้องจ่ายสูง อาทิ การไปสนับสนุน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นนายกรัฐมนตรี หากเป็นเช่นนั้น พรรคเพื่อไทยก็ต้องทำงานหนักในช่วง 1-2 ปี ในการผลักดันนโยบายสำคัญๆ เพื่อให้ประชาชนเห็นว่า เกิดจากความจำเป็นจริงๆ ในทางการเมือง เพราะพรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
เมื่อพรรคเพื่อไทยเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคภูมิใจไทยและพรรคอื่นที่ให้การสนับสนุน และในที่สุด พรรคก้าวไกลจะถูกบีบออกไปเป็นฝ่ายค้าน เนื่องจากพรรคก้าวไกลประกาศว่าจะไม่ร่วมมือกับพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร เมื่อมาถึงเกมการเมืองในขณะนี้ จะส่งผลให้บีบพรรคก้าวไกลออกไปเป็นฝ่ายค้านเอง
การเสนอให้ปิดสวิตช์ ส.ว. โดยแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 272 ถือเป็นเพียงสัญลักษณ์ของพรรคก้าวไกล เพราะเกิดขึ้นจริงยากมาก ประกอบกับใช้เวลานานมาก ในเมื่อต้องออกไปเป็นฝ่ายค้าน พรรคก้าวไกลจึงจำเป็นจะต้องทำให้สุดกำลัง ในเมื่อ ส.ว.ไม่ผ่านมติให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนได้ จึงต้องทำให้เห็นว่าไม่เอา ส.ว.ไว้ แล้วเอาตัวเองไปเป็นฝ่ายค้าน เหมือนกับนาย
ปิยบุตร แสงกนกกุล (แกนนำคณะก้าวหน้า) กล่าวไว้ว่า “เพื่อต้องการหาทางลง”
ที่สำคัญพรรคก้าวไกลพยายามแสดงให้เห็นว่าได้พยายามกดดัน ส.ว. และต้องการทำลายความสัมพันธ์พรรคเพื่อไทยกับ ส.ว. เพราะพรรคก้าวไกลรู้อยู่แล้วว่าหากไปไม่รอด ความชอบธรรมจะอยู่ที่พรรคเพื่อไทย และดึงพรรคเพื่อไทยเข้ามาร่วมแก้ ม.272 ซึ่งจะส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่าง ส.ว.เกิดความขัดแย้งกับพรรคเพื่อไทยระดับหนึ่ง และหากพรรคก้าวไกลไม่ยกมือให้พรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยก็ต้องอาศัย ส.ว.ในการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจจะมีปัญหาได้เหมือนกัน
กรณีมีข้อเรียกร้อง ส.ว. 158 คน ที่งดออกเสียงในการโหวตนายกฯรอบแรกลาออก เพื่อให้คะแนนลงมติเลือกนายกฯเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภาน้อยลง ซึ่งอาจเป็นผลดีต่อพรรคก้าวไกลในการโหวตนายกฯรอบต่อไป มองว่าเป็นข้อเรียกร้องได้ แต่เชื่อว่าในทางปฏิบัติคงเป็นไปไม่ได้ เพราะ ส.ว.ทุกคนเห็นว่าตัวเองยังมีบทบาทในการเลือกนายกรัฐมนตรี ส.ว.คงไม่ลาออกตามแรงกดดัน
เชื่อว่าความพยายามของฝ่ายสนับสนุนพรรคก้าวไกลที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี มาถึงตอนนี้มองว่าค่อนข้างยาก และมีเปอร์เซ็นต์น้อยลงมากๆ จากท่าทีของ ส.ว.ในการโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งแรก คิดว่าการโหวตในครั้งที่ 2 ก็คงไปในทิศทางเดียวกัน มีทางเดียวเท่านั้นคือพรรคก้าวไกลจะต้องไปขอร้องวิงวอนพรรคภูมิใจไทยมายกมือให้ ซึ่งในความเป็นจริงคงเป็นไปไม่ได้ หรืออาจจะต้องไปประสานงานกับพรรค พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน มองดูแล้วเป็นไปไม่ได้ทุกทาง แม้ว่าพรรคก้าวไกลจะเสนอข้อเรียกร้องให้กับพรรคภูมิใจไทยอย่างเต็มที่ก็ตาม แต่ก็ติดอยู่ที่ ม.112 ซึ่งพรรคก้าวไกลยอมให้ไม่ได้ รวมทั้งเรื่องนโยบายเรื่องกัญชาของพรรคภูมิใจไทย ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคภูมิใจไทยตกต่ำมาก
ในที่สุดแล้ว หากพรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน ถ้าให้มองสูตรในการจัดตั้งรัฐบาล เมื่อถึงจุดนี้พรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล มองในเรื่องความชอบธรรมแล้ว “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หรือนายเศรษฐา ทวีสิน ของพรรคเพื่อไทย จะต้องเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ถ้ามีการพลิกโผ พล.อ.ประวิตรขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลจะลำบากเพราะมีความชอบธรรมต่ำกว่า แม้กระทั่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่เข้าใจได้ว่ามีบารมีทางการเมืองสูง แต่จะมีแรงกดดันจากสังคมมาก ซึ่งต้องมีการประเมินกัน ผู้ที่จะถูกแรงกดดันน้อยอาจจะเป็นนายเศรษฐา แล้วจัดวาง พล.อ.ประวิตรอยู่ในที่เหมาะสม อาทิ ประธานยุทธศาสตร์รัฐบาล รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ด้านพรรคก้าวไกลก็ถือว่าไม่ได้แพ้ในเกมการเมือง แม้ไม่ได้เป็นรัฐบาลและออกมาเป็นฝ่ายค้าน หากติดตามตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้น ประชาชนก็จะได้รับประโยชน์ ยิ่งหากไปตรวจสอบในเรื่องการคอร์รัปชั่นในแวดวงตำรวจและทหารด้วย เสียงตบมือจากประชาชนจะสูงมาก รัฐบาลอาจอยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี มีการยุบสภาโอกาสของพรรคก้าวไกลจะกลับคืนมา นอกจากนี้ ทางพรรคเพื่อไทยจะต้องผลักดันวาระการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ด้วย เพื่อทำให้ประชาชนรู้สึกว่าสัญญาต่างๆ ที่ให้ไว้ โดยเฉพาะการลงนามของ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลมาขับเคลื่อนด้วย
ในเกมที่พรรคเพื่อไทยต้องการนายกรัฐมนตรี อันดับแรกต้องอาศัยเสียงของ ส.ว. หากไม่ทำเช่นนั้นต้องเจรจาให้พรรคก้าวไกลช่วยโหวต ร่วมทั้งพรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย เข้ามาสนับสนุน ก็จะปิดสวิตช์ ส.ว.ได้ ตามเจตจำนงของพรรคก้าวไกลและออกไปเป็นฝ่ายค้านแบบหล่อๆ
ถ้าพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลมองดูแล้วในกลุ่ม 8 พรรคร่วมที่ไม่ต้องการเอาไปด้วยคือ พรรคก้าวไกล พรรคเป็นธรรม พรรคไทยสร้างไทย และได้พรรคการเมืองอื่นๆ มาร่วมคิดว่าจะได้เกิน 375 เสียง
หลังจากนั้นนำนโยบายของ 8 พรรคการเมืองที่เคยเสนอไว้มาสานงานต่อ คล้ายกับเอางานของพรรคก้าวไกลมาทำไปด้วย ภาพของพรรคเพื่อไทยก็จะดีขึ้น