‘นักวิชาการ’ รอ ‘ก้าวไกล’ พัฒนาการศึกษาไทยให้ก้าวหน้า แนะอย่ามุทะลุ เดินให้ได้ถอยให้เป็น
เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม นายสมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการการศึกษา เปิดเผยว่า สถานการณ์การเมืองในขณะนี้ ตนกังวลว่าจะไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ ซึ่งตนในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ทำงานกับเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่มาตลอด เข้าใจความรู้สึกนึกคิด ความต้องการของเยาวชนที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง ตนอยากสะท้อนให้เห็นว่าเราต้องให้โอกาสกับเด็กรุ่นใหม่มาบริหารประเทศ ดังนั้น ส.ว.จึงมีหน้าที่กลั่นกรอง ไม่ใช่ปิดกั้น และการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารประเทศเป็นสิ่งที่อย่างไรเราก็ต้องเจอ
นายสมพงษ์กล่าวว่า ตนอยากให้พรรคก้าวไกล (ก.ก.) และ 8 พรรคการเมือง ถ้าเดินได้ถอยเป็น ต้องเห็นการเปลี่ยนแปลง ถ้าเดินได้ ต้องรู้ว่าควรจะเดินอย่างไร คือ คุณต้องรู้จังหวะ รู้โอกาส และเวลา บางเรื่องมันไม่ไปไม่ได้ เรื่องที่เป็นความขัดแย้งรุนแรง เช่น มาตรา 112 เป็นต้น ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่การประนีประนอม แต่เป็นเรื่องของจังหวะ ตนมองว่า ทั้ง 8 พรรค ที่ MOU ร่วมกัน มีเรื่องดีๆ ที่จะผลักดันร่วมกัน
นายสมพงษ์กล่าวต่อว่า คนที่เลือกพรรค ก.ก.กว่า 14 ล้านเสียง ไม่ใช่มีแค่นิสิต นักศึกษา และกลุ่มคนรุ่นใหม่เท่านั้น กลุ่มคนอื่นๆ เช่น สมาคมชาวประมง กลุ่มคนในวงการการศึกษา ต่างเลือกพรรค ก.ก. เพื่อหวังจะให้ผลักดัน ขับเคลื่อน และเปลี่ยนแปลงประเทศ แก้ไขปัญหาที่สั่งสมมายาวนาน
“ถ้าพรรค ก.ก.ไปติดอยู่เรื่องเดียว ผมคิดว่ามันทำลายความหวัง และทำลายสิ่งที่คนอื่นเขาอยากจะเห็นประเทศเดินหน้า เพราะฉะนั้น อย่ามุทะลุดุดัน อย่าให้เรื่องนี้เป็นนโยบายเดียวที่ทำลายโอกาสของประเทศอีกหลายร้อยเรื่อง จึงอยากให้พรรค ก.ก.คิดให้รอบคอบ เพราะไม่มีการหักด้ามพร้าด้วยเข่าได้ และถอยเรื่อง ม.112 ไม่ใช่การประนีประนอม แต่เป็นเรื่องที่คุณรู้ว่าสถานการณ์ขณะนี้ คุณจะต้องบริหารงานในสภาให้เป็น ถ้าพรรค ก.ก.เดินได้ถอยเป็น เข้าใจสิ่งที่พูดอย่างจริงจัง คุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวได้
การฟังคนรุ่นใหม่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ไม่ใช่เรื่องของม็อบ หรือฟังด้อมส้มเพียงอย่างเดียว ยังมีประชากรมากกว่า 14 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนั้น ฝากปัญหา ฝากสิ่งที่คุณสัญญากับประชาชนไว้อยู่ ซึ่งไม่ใช่แค่ ม.112 เรื่องเดียว ดังนั้น ถ้าเดินได้ถอยเป็น ต้องบริหารกรอบเวลาให้ดี ไม่ใช่ดึงดันจนไม่สามารถทำอะไรได้” นายสมพงษ์กล่าว
นายสมพงษ์กล่าวต่อว่า และในขณะเดียวกัน ตนอยากฝากถึง ส.ว.ว่า ถึงเวลาที่ต้องใจกว้างว่าถึงเวลาที่เราต้องมีรัฐบาล มีคนรุ่นใหม่เข้ามาบริหาร คิดว่าการที่มี ส.ว. 250 คน จะช่วยกลั่นกรองกฎหมาย ซึ่งไม่ว่าใกล้หรือไกล ไม่ว่าจะนานหรือไม่นาน ประเด็นแก้ไข ม.112 จะต้องได้รับการแก้ไข ดังนั้น ส.ว.ต้องฟังเสียงเด็กให้เป็น ไม่ใช่ตะบึงตะบันบล็อกกันจนเอาเป็นเอาตาย การเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ที่มีประสบการณ์ ต้องเปิดโอกาสให้เปิดให้ถกกันในสภาได้ สภาต้องเป็นพื้นที่สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ ระหว่างผู้ใหญ่และคนรุ่นใหม่ ถ้าไม่เปิดพื้นที่ในสภาเพื่อหารือและพูดคุย เราจะเห็นสิ่งที่เราไม่อยากเห็นกลับมาอีก คือ การเดินบนถนน การปะทะ ขึ้นอีก
“ผมอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เพราะระบบการศึกษาของประเทศถูกเลี้ยงไข้มา 8-9 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่ยาวนาน การศึกษาไทยได้รับการปฏิรูปแบบทิพย์ เทียม ไม่มีอะไรดีขึ้น เราจะปิดกั้นโอกาสทางการศึกษา โอกาสการเปลี่ยนแปลงหรือ และในวงการการศึกษาก็ฝากความหวังไว้กับ 8 พรรคการเมืองไว้สูง ผมไม่อยากให้เรื่องนี้เรื่องเดียวมาทำลายเสียงส่วนอื่นๆ ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง ซึ่งขณะนี้คนในวงการการศึกษาค่อนข้างหนักใจมาก การดึงดัน การต่อสู้โดยใช้ตาต่อตาฟันต่อฟัน ไม่มีทางที่จะทำให้โอกาสดีๆ ของประเทศเกิดขึ้นได้ จึงอยากจะให้ 8 พรรคการเมืองคุยกันสักนิด” นายสมพงษ์กล่าว