แสนดี ร่ายยาว ขอทบทวนตัวเอง รับได้สิทธิพิเศษกว่าผู้อื่น พ้อ ถูกต่อว่าเรื่องร่างกาย-สติปัญญา
เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม จากกรณีที่ แสนดี แสนปิติ สิทธิพันธุ์ บุตรชายของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้โพสต์สตอรี่บนอินสตาแกรม thesandmans20 ในประเด็นการเมืองระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล โดยระบุว่า มีแต่วัยรุ่นเหลือขอเท่านั้น ที่ต้องการให้นายพิธาอยู่ในตำแหน่ง รวมถึงไม่มีนโยบายเศรษฐกิจที่ทำได้จริง
กระทั่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ จนทำให้ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 และ 2 ในทวิตเตอร์ ก่อนที่นายแสนปิติ จะออกมาโพสต์คลิปวิดีโอ พร้อมข้อความลงในอินสตาแกรม ขอโทษกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป ดังที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
- ‘แสนดี’ ชี้ ‘พิธา’ ไม่มีวันได้เป็นนายกฯ ‘ก้าวไกล’ ถึงเวลาเสียสละ ปล่อย พท.นำประเทศสู่อนาคต
- แสนดี ร่ำไห้ขอโทษ พ้อ ไม่แฟร์ แค่ใช้เสรีภาพในการพูด หลังโพสต์แรง วิจารณ์ ‘ก้าวไกล’
ล่าสุด นายแสนปิติ ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “สิ่งที่ผมได้ทำไปก่อนหน้านี้นั้น ไม่สามารถให้อภัยได้ และไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ผมขอโทษสำหรับการใช้คำหยาบคายและภาษาที่ไม่เหมาะสม ในการอธิบายกลุ่มทางการเมือง
ผมยอมรับว่าการกระทำของผมได้ก่อให้เกิดความเจ็บปวดนับไม่ถ้วน รวมถึงยั่วยุให้เกิดความเกลียดชัง ผมยอมรับว่า สิ่งที่ผมเขียนในวันนี้ ได้ทำร้ายผู้คนอย่างไม่อาจแก้ไขได้ ในฐานะบุคคลสาธารณะ ผมได้ตระหนักว่าได้ทำให้ทุกคนผิดหวังกับสิ่งที่ทำลงไป และเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องทำให้ดีขึ้นในฐานะปัจเจกชน
ผมติดค้างเต็มๆ ที่ผมได้รับสิทธิพิเศษ และเป็นคนระดับบน ผมไม่มีประสบการณ์และไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการเมืองไทย หรือเรื่องการเมือง ผมไม่สมควรที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมือง แม้ว่าจะมีสิทธิเสรีภาพในการพูดก็ตาม แต่ผมไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ
ผมจะใช้เวลาในการไตร่ตรองในการกระทำและความประพฤติของผม ในช่วงเวลานี้ ผมจะทบทวนตัวเองว่าผมจะสามารถนำประสบการณ์นี้ เพื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ประสบการณ์ของผมแตกต่างจากคนอื่นๆ อย่างมาก และผมได้รับผลประโยชน์และสิทธิพิเศษบางอย่าง ที่บางคนและชุมชนไม่ได้รับ
ผมได้รับสิทธิพิเศษและได้เปรียบจากภูมิหลังของผม สิ่งนี้ได้บอกถึงระดับความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ผมตระหนักดีว่า พรรคก้าวไกลและพรรคฝ่ายสนับสนุประชาธิปไตยอื่นๆ กำลังทำเพื่อคนกลุ่มนี้ และแม้จะมีความคิดที่แตกต่างกัน ผมก็ควรเคารพในความคิดเห็นของพวกเขา
ตลอดวันที่ผ่านมา ผมได้อ่านความคิดเห็นที่เจ็บปวด เกี่ยวกับสภาพร่างกาย สติปัญญา และภูมิหลังของผม
ในขณะที่ทุกคนมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตัวเอง ผมก็ตระหนักว่า นี่คือผลของการกระทำของผม และผมได้มอบสิทธินั้นเอง เราต้องแสดงความเห็นอกเห็นใจและมีน้ำใจต่อผู้อื่น และยอมรับว่า ผมไม่เก่งในด้านนี้ แต่ในอนาคต ผมหวังว่าจะใช้สิ่งนี้เป็นโอกาสในการพัฒนาทักษะดังกล่าว เพื่อให้เป็นคนที่รอบรู้และเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
มีบางความคิดเห็นที่ออกจะล้ำเส้นเกินไป และยิ่งขยายความเกลียดชัง แบ่งแยกมากขึ้น ผมจะไม่ไปตอบโต้ข้อความเหล่านั้น และจะขอพูดคำนี้ว่า “ความเกลียดชังจะยิ่งกระตุ้นให้เกิดความเกลียดชังมากยิ่งขึ้น”
ถ้าเหตุการณ์นี้จะทำให้ผมมองย้อนเพื่อพิจารณาตัวเอง ก็หวังว่าทุกคนจะได้ทำแบบเดียวกัน เพื่อที่เราจะได้ตระหนักว่าควรจะปฏิบัติต่อคนอื่นให้ดีขึ้นได้อย่างไร รวมถึงการอดทนต่อกลุ่มคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากเรา
ด้วยรักอย่างมาก
แสนดี”