…แม้ต้องประกาศกันให้ชัดเจนว่า “วันหยุดปีใหม่” รวม 4 วัน คือ “31 ธ.ค.-3 ม.ค.” ไม่ได้เป็นอย่างที่อยากให้เป็นกันคือเริ่ม “30 ธ.ค.” แต่นั่นเป็นเรื่องของ “นิตินัย” สำหรับ “พฤตินัย” นั้น อย่าว่าแต่เอกชนเลยที่เริ่มออกต่างจังหวัดกันแล้วตั้งแต่ “29 ธ.ค.” แม้แต่ข้าราชการก็ไม่ต่างกัน เว้นเสียแต่หน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยบนท้องถนน ยังต้องทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ ในช่วงวันหยุดยาว เหมือนเดิม
…คืบไปอีกขั้น “ประเทศในทิศทางที่ผู้มีอำนาจคิดว่าควรจะเป็น” ผลประชุม คสช.ล่าสุดสั่งตั้ง “คณะกรรมการปฏิรูป 19 คน” ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีทุกคน รัฐมนตรี 2 คน ประธานและรองประธาน สนช.กับ สปท.และข้าราชการอีกส่วนหนึ่ง สำหรับเสียงที่บอกว่า “ยุทธศาสตร์ควรรอรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน” ค่อยๆ เงียบหายไป กับความจำนนเรื่อง “คุณภาพและคุณธรรมของนักการเมือง” ที่ดูท่าจะยากที่จะหาคนมาช่วยฟื้นคืน “ความเชื่อถือศรัทธา”
…เรื่องราว “ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่” ไล่เรียงดู พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ประกาศให้รับรู้ว่า “ผมเป็นห่วงประชาชนมากกว่า การเมืองก็คือการเมืองเป็นอย่างไรก็รู้ๆ กันอยู่ มีเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ไม่ว่าคิดอย่างไรขอให้คิดถึงประเทศชาติมาก่อนเสมอ” เป็นคำแบบ “ท่านผู้นำ” ที่ฟังแล้วไม่ว่าใครก็ยากที่จะเถียง เรื่องหนึ่งที่ “บิ๊กตู่” มีกำหนดการคือนำ “คณะรัฐมนตรี” เข้ารับพรปีใหม่จาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
…หันไปมองฟากนักการเมือง ในห้วงยามที่ “กติกาใหม่” ที่จะกำหนดทิศทาง “โครงสร้างอำนาจการบริการจัดการประเทศ” เกิดขึ้นเป็นรายวัน มีประเด็นมากมายที่จะต้องอธิบายไขขานให้ประชาชนได้รู้ได้เข้าใจ ในฐานะที่ทุกฝ่ายอ้างว่าเป็น “เจ้าของอำนาจที่แท้จริง” เป็นห้วงเวลาที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นำ “ผู้บริหารพรรคเพื่อไทย” เดินสายทำบุญสุนทาน ตักบาตร ฝังลูกนิมิต ขณะที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นำทีม “ประชาธิปัตย์” บริจาคเลือด ต่างคนต่างเน้นความเป็นสิริมงคลให้กับตัวเอง
…แบ่งงานกันไปเรียบร้อยสำหรับ “คณะรัฐมนตรีชุดใหม่” ก่อนหน้าที่จะมีการปรับ มีข่าวลือกันกระหึ่ม ถึงเรื่องราวการใส่ไฟ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในมุม “มีปัญหากับการดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” แรงระดับที่เหมือนกับจะต้องเปลี่ยนแปลง แต่แล้ว “การจัดสรรงานใหม่” ทุกอย่างสำหรับ “บิ๊กป้อม” ยังเหมือนเดิม ข่าวทั้งหลายเป็นแค่ “การระบายความอึดอัดของใครต่อใครที่ไม่ได้ดังใจ” ไม่เกี่ยวกับการบริหารจัดการประเทศ
…ส่งท้ายปีเก่า มีโพลบางสำนักออกมาว่า “ประชาชนชื่นชมรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร มากกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง” แม้ นพดล ปัทมะ จะพูดน่าฟังว่า “การกาบัตรเลือกตั้ง จะเป็นตัวชี้วัดความนิยมของประชาชนได้ดีที่สุด” ทว่าบางที “ความไม่รู้สึกรู้ร้อนรู้หนาว ว่าจะเลือกตั้งกันเมื่อไร หรือกระทั่งจะมีการเลือกตั้งหรือไม่” ก็เป็นเรื่องที่บอกอะไรให้ต้องชวนคิดอยู่ไม่น้อย
…เพียงแต่นิยามของ “นักการเมือง” ที่มีคนเคยสรุปว่า “บุคคลที่มีพฤติกรรมพิเศษ ที่คนปกติธรรมดาไม่สามารถทำได้” ยังเป็นความจริงอยู่เสมอ แม้คล้ายทุกคนจะเอาแต่รอคอย แต่หากเดินเข้าไปให้ใกล้ สัมผัสให้ลึกลงไป จะพบว่า “ทุกคน” ล้วนอยู่ในความพร้อมตลอดเวลา และ “ความพร้อมของนักการเมือง” ที่ “คนต่างอาชีพยากจะเข้าใจนี้” คือปัจจัยที่ทำให้ “ความฝันของผู้ที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าสลายมานักต่อนักแล้ว” ดังนั้น “ตัวชี้วัดคือผลเลือกตั้ง” ย่อมเป็นเรื่องที่ “มีแต่ต้องรอ”
ชโลทร