การเจรจา สู่การประนีประนอมที่เปิดกว้าง โดย โคทม อารียา

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีการเลือกตั้งทั่วไปที่กัมพูชาและสเปน ผลการเลือกตั้งในกัมพูชานั้นคาดการณ์ได้ล่วงหน้าแล้ว เพราะไม่มีพรรคฝ่ายค้านลงแข่งขัน พรรคฝ่ายค้านที่สำคัญถูกยุบ พรรครองลงไปถูก กกต.กัมพูชาไม่ให้ลงสมัครเพราะส่งเอกสารไม่ครบ มีแต่พรรครัฐบาลของ สมเด็จฯ ฮุน เซน ที่ได้ ส..ไปเกือบทั้งสภา ขาดไป 5 เสียงที่เป็นของพรรคพันธมิตร แล้วการตั้งรัฐบาลไม่ยากลำบากอะไร เพราะวางตัวลูกชายของ สมเด็จฯฮุน เซน เป็นนายกฯคนต่อไปอยู่แล้ว ด้วยการพูดย้อนคนที่แย้งว่าลูกชายนายกรัฐมนตรีไม่มีสิทธิทางการเมืองหรืออย่างไร 

นี่แหละครับ อิทธิฤทธิ์ของผู้มีอำนาจ เหมือนที่กล่าวไว้ในบทเรียนดรุณศึกษา ที่ ภราดา ฟ.ฮีแลร์ แต่งไว้สอนนักเรียนอัสสัมชัญชั้น ป.2 ตั้งแต่ปี 2453 และกิเลน ประลองเชิง ในคอลัมน์ลงวันที่ 25 กรกฎาคม ยกบทเรียนในส่วนที่สอนให้นักเรียนรู้จักใช้ตัว จ จาน สะกด โดยมีตัวอย่างของประโยคว่าอาศัยศาลยุติธรรมผู้มีอำนาจจึงไม่อาจข่มเหงผู้น้อยเล่นตามสบาย…” แล้วบทเรียนยังมีนิทานให้รู้จักการใช้อำนาจ โดยกล่าวถึงนักเรียนชื่อสะท้อนที่เพิ่งมาจากภาคเหนือ เวลาครูใหญ่สอน สะท้อนขะมักเขม้นฟัง เวลาครูรองสอน สะท้อนคิดว่าครูรองไม่มีอำนาจ จึงไม่ตั้งใจฟัง ครูใหญ่จึงเล่านิทานให้ฟังเรื่องหนึ่ง แล้วสอนว่า เด็กเล็กนั้นได้อำนาจมาจากผู้ใหญ่นักเรียนจึงต้องเคารพครูรองเท่าครูใหญ่ กิเลน ประลองเชิง สรุปว่าภราดาฯท่านไม่เคยเจอสถานการณ์สารพันผู้ใหญ่รุมโกงรุมรังแกเด็กมาก่อน แต่ท่านสอนเหมือนหลับตาเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้กว่าร้อยปีขอกล่าวถึงการเลือกตั้งทั่วไปในสเปนบ้าง พรรคประชาชนที่มีอุดมการณ์กลางขวา (อนุรักษนิยม) ชนะการเลือกตั้งได้ 136 ที่นั่ง จากทั้งหมด 350 ที่นั่งในสภา พรรคว็อกซ์ที่มีอุดมการณ์ฝ่ายขวา (อนุรักษนิยมจัด) ได้ 33 ที่นั่ง สองพรรคนี้รวมกันได้ 169 ที่นั่ง ไม่เป็นเสียงข้างมาก ส่วนพรรคสังคมนิยมแรงงานที่มีอุดมการณ์กลางซ้าย และเป็นรัฐบาลในปัจจุบันได้ 122 ที่นั่ง ขณะที่พรรคซูมาร์ที่มีอุดมการณ์ฝ่ายซ้าย ได้ 31 ที่นั่ง สองพรรคนี้รวมกันก็ไม่ได้เสียงข้างมากเช่นกัน ถ้าจะตั้งรัฐบาลก็ต้องพึ่งพรรคเล็กๆ อื่นๆ สเปนจึงเข้าสู่สถานการณ์การเมืองที่เรียกว่าสภาแขวน (hung parliament) กษัตริย์แห่งสเปนจะเชิญหัวหน้าพรรคประชาชนให้จัดตั้งรัฐบาลก่อน ถ้าไม่สำเร็จก็จะเชิญหัวหน้าพรรคสังคมนิยมแรงงานที่เป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันให้จัดตั้งรัฐบาล แต่สเปนมีกติกาว่า ภายใน 2 เดือนนับตั้งแต่การลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งแรก ถ้าไม่มีผู้ใดได้เสียงข้างมาก ก็จะต้องเลือกตั้งกันใหม่ 

ในคอลัมน์เหะหะพาทีของซูมลงวันที่ 24 กรกฎาคม ให้สถิติที่บันทึกในกินเนสส์บุ๊กว่า มีหลายประเทศที่เคยอยู่ในสถานการณ์สภาแขวน จึงมีความล่าช้าในการตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง คือใช้เวลานานในการเจรจากว่าจะตกลงกันได้ในเชิงนโยบายและตัวบุคคล 

สถิติความล่าช้ามีดังนี้ 6) สวีเดน 134 วัน 5) เยอรมนี 136 วัน ในปี 2560 4) เนเธอร์แลนด์ 225 วัน ในปี 2560 3) สเปน 315 วัน ในปี 2558 2) เบลเยียม 541 วัน ในปี 2553 และ 1) เบลเยียม (ทำลายสถิติตนเอง) 652 วัน ในปี 2562 (ขาดอยู่ 78 วันก็ครบสองปี ยาวนานขนาดนี้คงไม่ใช่ตัวอย่างที่ดี) 

Advertisement

วุฒิสภาของเรามีวาระถึงวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 ถ้าจะรอให้ถึงวันนั้น ในเรื่องความล่าช้า เราจะทำได้นานน้อยกว่าประเทศเบลเยียมเพียงประเทศเดียว ถ้าขอให้วุฒิสมาชิกบางคนลาออก ก็ไม่กระทบจำนวนเต็ม 250 คนของวุฒิสมาชิกแต่อย่างใด เพราะเขาได้จัดทำบัญชีสำรอง ส..” ไว้แล้ว เพียงเลื่อนคนถัดไปขึ้นมาให้ครบ 

ผมขอเสนอว่าเราควรสร้างบรรยากาศการประนีประนอมและการเจรจากัน ไม่ใช่บรรยากาศของผู้ชนะได้หมด” (winner takes all) โดยในการเจรจานั้น ไม่ควรเป็นเพียงการปกป้อง/ยืนยันจุดยืนของตน ไม่ควรตั้งเงื่อนไขล่วงหน้า ไม่ควรมีข้อเสนอแบบยื่นคำขาด แต่ควรเป็นการเจรจาแบบเปิดกว้าง/รับฟัง และแสวงหาทางออกที่มีเหตุผล มีทั้งการให้และการรับ และเป็นการรักษาความสัมพันธ์ระยะยาว

ขอนำเสนอความเห็นที่อ้างตำรามาประกอบดังนี้

Advertisement

แม้การเจรจาเป็นกระบวนการที่ผู้เข้าร่วมพยายามที่จะได้รับประโยชน์ที่ตนเองต้องการมากที่สุดแต่ก็เป็นกระบวนการที่ผู้เข้าร่วมพร้อมที่จะประนีประนอม

การหลีกเลี่ยงการเจรจา ส่วนใหญ่เป็นเพราะต้องการหนีหน้า หรือต้องการเอาชนะ แต่ก็อาจพลาดโอกาสที่ดีที่จะบรรลุเป้าหมาย (โดยเฉพาะเป้าหมายสำคัญที่เหนือขึ้นไปในระยะยาว) ของตน หรือพลาดโอกาสที่จะจัดการกับปัญหาอย่างราบรื่น

การเจรจาเป็นกระบวนการโดยสมัครใจ โดยต่างฝ่ายต่างก็หวังว่าจะมีทั้งการให้และรับอุปสรรคต่อการเจรจา มีอาทิ การกล่าวโทษเจตนา ความยึดมั่นถือมั่น การต่อรองแบบติดยึดจุดยืน (positional bargaining)

จุดยืน หมายถึงข้อเรียกร้องที่ฝ่ายหนึ่งมีต่ออีกฝ่ายหนึ่ง โดยมีความปรารถนาของตนเป็นข้อต่อรองสุดท้ายที่แสวงหา และมีเหตุผลหรือผลประโยชน์รองรับความปรารถนานั้น

กลยุทธ์การเจรจาที่เปิดกว้างเน้นการพิจารณารอบด้าน (ไม่เน้นจุดยืนจนแข็งตัว) เน้นการเอาใจใส่ต่อกันและกันมากขึ้น คำนึงถึงความสัมพันธ์ระยะยาว แสวงหาความเข้าใจที่จะนำไปสู่การประนีประนอม เชื่อว่าผลประโยชน์โดยรวมนั้นไม่คงตัว อาจเพิ่มพูนขึ้นได้หากร่วมมือกัน เห็นคู่เจรจาเป็นพันธมิตรในการร่วมกันหาทางออก เน้นที่การแสวงหาข้อตกลงร่วมกันที่ทุกฝ่ายพึงพอใจ

การเจรจาควรแยกคนจากปัญหา คนไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือปัญหา ให้ความสำคัญแก่ผลประโยชน์ ความสนใจ ไม่ใช่จุดยืน ทำให้เกิดทางเลือกที่เป็นไปได้หลายทางเลือกก่อนตัดสินใจว่าจะทำอะไร ผลลัพธ์ที่ได้จากการเจรจาควรอยู่บนฐานที่เป็นรูปธรรม 

องค์ประกอบอื่นๆ ที่สำคัญในการเจรจา มี อาทิ การเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้ร่วมเจรจา (โกรธ หยิ่ง รู้สึกผิด กังวล ผิดหวัง ฯลฯ) การเข้าใจบรรยากาศของการเจรจา การเข้าใจสภาวะแวดล้อมของการเจรจา การสังเกตอากัปกิริยาของผู้ร่วมเจรจา ตลอดจนการสื่อสารโดยภาษากาย (ไม่ใช้คำพูด) เช่น การหัวเราะที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ คำพูดเป็นบวกแต่ภาษากายเป็นลบ การกำมือแน่น ฯลฯ) การแสดงกิริยาที่ตอบรับหรือแสดงว่าตั้งใจฟังคำกล่าวของผู้พูด เป็นต้น

ควรมีการเตรียมตัวก่อนเริ่มเจรจา โดยพิจารณาถึง เป้าหมาย : เรามีจุดมุ่งหมายอย่างไร ต้องการอะไรจากการเจรจา / คู่เจรจาต้องการอะไรจากเรา ข้อแลกเปลี่ยน : เรามีอะไร/คู่เจรจามีอะไรที่จะแลกเปลี่ยน ทางเลือกอื่น : ถ้าเราไม่สามารถตกลงกันได้เรามีทางเลือกอื่นไหม ทางเลือกนั้นดี/ไม่ดีอย่างไร ความสำเร็จ : การเจรจาสำเร็จ/ไม่สำเร็จจะก่อให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

ข้อพึงระวัง : การใช้ลูกไม้ในกระบวนการเจรจาจะทำให้สูญเสียความน่าเชื่อถือและทำลายความสัมพันธ์ ความซื่อตรงเป็นแนวทางที่ดีที่สุดต่อความพยายามจัดตั้งรัฐบาลที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้ ส.. ที่แต่งตั้งโดย คสช. ย่อมมีความคิดแบบอนุรักษนิยม (ไม่เห็นด้วยกับนโยบายส่วนใหญ่ของพรรคก้าวไกลที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง) การอนุรักษ์จึงมาก่อนความคิดแบบประชาธิปไตย ดังนั้น การให้เหตุผลเชิญชวน ส.. ให้ทำตามหน้าที่ผู้แทนปวงชนดังที่เขียนในรัฐธรรมนูญ และออกเสียงลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีตามผลการลงคะแนนของปวงชน จึงไม่ได้รับการตอบสนองมากนักจาก ส.. มาบัดนี้ พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จะอ้างมาตรา 112 หรือการมีทัศนคติที่ขัดกันอีกหรือไม่ จะพร้อมให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยแม้ว่าจะมีพรรคก้าวไกลร่วมเป็นรัฐบาลด้วยหรือไม่ หรือจะยื่นคำขาดว่า ให้พรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้านเท่านั้นจึงจะสนับสนุนพรรคเพื่อไทย ท่านพร้อมจะใช้อำนาจที่มากกว่าการเลือกนายกรัฐมนตรี กล่าวคือท่านจะกำหนดไม่ให้พรรคหนึ่งพรรคใดมาร่วมเป็นรัฐบาลด้วยกระนั้นหรือ โดยอาศัยความชอบธรรมประการใด 

ผมมีเรื่องที่จะขอร้อง ส.. ที่เคารพหลักการประชาธิปไตยว่า ได้โปรดแจ้งให้สาธารณชนทราบถึงเจตนาของท่านในการออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี โดยไม่ตั้งเงื่อนไขที่เป็นเหมือนการยื่นคำขาดเลย

กับ ส.. คงทำได้เพียงการพูดคุยเพื่อให้ทราบเจตนา แต่กับ ส..ที่มักออกเสียงตามมติพรรค น่าจะมีการเจรจากันระหว่างตัวแทนของพรรค โดยอาจเริ่มต้นดังนี้

ตามที่พรรคเพื่อไทยบอกว่ายังไม่ได้รับมอบหมายจากพรรคร่วม 8 พรรค ให้ไปเจรจาเชิญชวนพรรคอื่นให้มาร่วมจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้น พรรคร่วม 8 พรรค ควรมอบหมายภารกิจให้ชัดเจนยิ่งขึ้น 

ก่อนการเจรจา ควรมีการพูดคุยกันเพื่อหาข้อตกลงเบื้องต้นกันก่อน โดยทั่วไปพรรคการเมืองถือว่าตนมีอำนาจและทักษะที่พร้อมในการเจรจา ก็ไม่จำเป็นต้องมีคนกลางคอยอำนวยความสะดวก แต่ถ้าเห็นประโยชน์ของคนกลางอำนวยความสะดวก ก็อาจมีได้

ข้อตกลงเบื้องต้นอาจรวมถึงองค์ประกอบผู้เข้าร่วมเจรจา การยอมรับหัวข้อการเจรจาที่เปิดกว้าง (ไม่ใช่เพียงมาแจ้งเงื่อนไขหรือจุดยืน) การตกลงในเบื้องต้นว่าเป้าหมายการเจรจาคือการร่วมกันหาทางออกที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ โดยสามารถลงรายละเอียดได้ทั้งในเรื่องนโยบาย ตัวบุคคล และหลักประกันเพื่อป้องกันความยุ่งยากใดๆ

การเจรจาจะต้องระวังเรื่องการรักษาความลับ คือการเปิดเผยเฉพาะสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายพร้อมให้เปิดเผย

ถ้าการเจรจาสามารถบรรลุข้อตกลงก็เป็นเรื่องดี ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็รักษาความสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้ เผื่อว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ก็สามารถเจรจาต่อหรือร่วมมือกันในเรื่องอื่นๆ ได้

ระหว่างนี้ พรรคร่วม 8 พรรค ควรจับมือกันไว้ให้แน่น มีความอดทนฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ที่มีทั้งปรารถนาดี และปรารถนาดีประสงค์ร้าย หรือที่แสดงความเกลียดชังหรือความชื่นชมต่างๆ ฝ่ายประชาธิปไตยควรยืนระยะทางให้ยาวไว้ และดำเนินการพูดคุยกับ ส.. และเจรจากับพรรคการเมืองพรรคอื่นๆ อาจบอกพวกเขาว่า จะไปจับมือกับ ส..ฝ่ายอนุรักษนิยมที่ตั้งโดย คสช.ไปทำไม มาร่วมกับฝ่ายประชาธิปไตยแล้วก้าวข้ามอำนาจ คสช.กันได้แล้ว ถ้ามีข้อต่อรองประการใดก็ขอให้มาเจรจากัน หากพรรคร่วม 8 พรรค พยายามอย่างเต็มที่เพื่อหวังให้บรรลุผลแล้ว ประชาชนจะเห็นว่าพรรคร่วม 8 พรรค ไม่ถ่วงเวลาให้ล่าช้า และยังยืนหยัดในอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่เปิดกว้างและประนีประนอม    

การเจรจาน่าจะช่วยให้การเมืองเดินหน้าไปตามระบอบประชาธิปไตย แต่ถ้าเห็นว่ายาก หรือมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า ก็เลือกทางนั้น แต่อย่าเลือกทางที่นำไปสู่ความร้าวฉานและความรุนแรง ที่จะทำให้เราเสียใจในความสูญเสียไปอีกนาน 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image