•…สถานการณ์โลกเดือดระอุมากขึ้น เมื่อ “ระเบิดโดรน” ถล่ม “กรุงมอสโก” ไม่ว่าจะฝีมือใคร ย่อมหมายถึงการใช้ความรุนแรงต้องเพิ่มขึ้นอย่างยากจะหยุด และหมายถึงผลสะเทือนต่อโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยใน “ยุคโลกาภิวัตน์” ความรุนแรงจากพื้นที่หนึ่งย่อมก่อความหวาดระแวงไปกว้างขวาง ทุกชนชาติแทรกอยู่ร่วมกันทุกประเทศ เลยไปถึง “อาวุธยุคใหม่” ที่ไม่ใช่ “เครื่องบินรบรถถัง เรือดำน้ำ” ซึ่งต้องหาเงินปรับ “แสนยานุภาพของกองทัพ” ให้ทันสมัยกันทุกประเทศ
•…วกกลับมาที่การเมืองไทย “4 ส.ค.” หลังวันหยุดยาว “รัฐสภา” เปิด “โหวตนายกรัฐมนตรี” รอบใหม่ เที่ยวนี้ชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” ยังเป็นตัวหลัก แม้จะคล้ายว่า “บรรยากาศการอภิปราย” น่าจะร้อนแรงน้อยกว่า “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ที่ก้าวไม่ข้าม “250 ส.ว.” อันเป็น “กลไกของขบวนการผูกขาดอำนาจ” แต่ชะตากรรมใน “เกมอำนาจ” รอบนี้ ซับซ้อน และส่งผลในระยะยาวรุนแรงกว่า แน่นอน!
•…ครั้ง “ก้าวไกล”เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในฐานะ “พรรคที่มี ส.ส.มากที่สุด” โดยเสนอ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นนายกฯนั้น แม้จะ “ล้มเหลว” แต่เป็น “เกมที่เรียบง่าย” โดยใช้ “ขบวนการผูกขาดอำนาจ” ใช้ “250 ส.ว.” หักดิบ “อำนาจประชาชน” มี “ส.ส.” สาย “นิยมอำนาจ” สมรู้ร่วมคิด เป็น “เกมที่อ่านง่ายๆ” แม้ประชาชนจะ “ทำใจยาก” ผลที่ตามมาสร้างโจทย์ให้ “ฝ่ายอำนาจประชาชน” ชัดเจนว่า หากต้องการโครงสร้างอำนาจที่เป็นธรรม ต้อง “แก้ไขรัฐธรรมนูญ ปลดล็อกกลไกผูกขาดทั้งหลาย” ให้กลับสู่ “ประชาธิปไตยปกติ”
•…เป็นภารกิจของ “ประชาชน” และ “พรรคการเมืองของประชาชน” จะต้องร่วมใจกัน “เปลี่ยนโครงสร้างอำนาจวิปริต” นั้นให้ได้โดยเร็ว ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน ต้องยึดถือ “ความมุ่งมั่นร่วมกัน” ไว้ หมุดหมายของ “ความสำเร็จ” หรือ “ชัยชนะที่แท้จริง” อยู่ตรงนั้น แค่ “ชัยชนะในผลการเลือกตั้ง” เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ “ประชาชนเปิดทางไว้ให้” เท่านั้น “พรรคการเมืองของประชาชน” จะต้องหนักแน่นในการรับช่วงภารกิจต่อจากประชาชนอย่างแข็งขัน
•…การแก้ “ปัญหาปากท้อง” ให้กับประชาชนอย่างแท้จริงคือ “การเปิดโอกาสในการแบ่งปันผลประโยชน์ของชาติให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม” ไม่ใช่แบบที่ “รัฐบาลชุดก่อน” ทำไว้ คือ “สร้างความร่ำรวยเพิ่มขึ้นล้นหลามให้มหาเศรษฐีบางคน” ขณะ “ประชาชนส่วนใหญ่ถูกทำให้ต้องแบกรับหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นท่วมหัวท่วมหูกว่า 90 เปอร์เซ็นต์” การจัดการกับ “ขบวนการผูกขาดอำนาจ” ที่เอื้อกับ “การสร้างความเหลื่อมล้ำในการควบคุมผลประโยชน์ของชาติให้อยู่ในมือตัวเองและพวกพ้อง” แบบนี้ เป็น “เป้าหมายที่แท้จริงที่ประชาชนต้องการเปลี่ยน” และร่วมกันลงมือแล้วใน “คูหาเลือกตั้ง” ด้วยหวังว่า “พรรคการเมือง” ที่ช่วยกันเลือกมา จะทุ่มเทต่อสู้ใน “รัฐสภา” ให้ประสบความสำเร็จ ไม่มีใครคิดว่า “อำนาจที่ประชาชนมอบให้มาถล่มทลาย จะพ่ายแพ้ในเกมอำนาจง่ายดาย” เช่นนี้
•…เกมอำนาจในรัฐสภา ที่ควรจะเรียบง่ายด้วยการยืนหยัดใน “เจตนารมณ์ประชาชน” ถูกทำให้กลายเป็น “ความซับซ้อนจนคาดเดาไม่ได้” เพราะ “วาระเบื้องหลังที่มีความสำคัญมากกว่าเจตจำนงประชาชน” เมื่อ “พรรคเพื่อไทย” ต้องพลิกมารับบทแกนนำจัดตั้งรัฐบาล “ดีลเปิดเผย” ถูกมองว่าเป็นการใช้ “ปากพรรคจุดยืนแตกต่าง” มาบีบเพื่อถีบส่ง “พรรคที่ประชาชนมอบภารกิจร่วมกันไว้ให้” ขณะอีกทางที่เป็น “ดีลลับ” กลับสร้างข่าวเล่าลือว่า “สมคบขบวนการผูกขาดอำนาจ” เพื่อหวังผลใน “วาระซ่อนเร้นที่ให้ความสำคัญมากกว่าความร่วมใจพาประชาธิปไตยออกจากความวิปริต” ไม่ใส่ใจว่า “อำนาจประชาชน” ต้องพ่ายแพ้ยับเยิน
•…เจตจำนงฟื้นประชาธิปไตย เดินหน้าลบล้าง “ขบวนการผูกขาดอำนาจ” ที่ประชาชนยืนหยัดขอให้ร่วมกันสู้ ถูกมองว่าเป็น “วิถีของพวกโลกสวย ไม่ยืนอยู่กับความเป็นจริง” เป็นพวกเอาแต่ “หักด้ามพร้าด้วยเข่า” ที่ไม่มีทางสำเร็จ “ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในอำนาจไว้ก่อน” แล้วค่อยหาทางภายหลัง เหมือนกับชวนให้ลืมไปเสียว่า “อำนาจผูกขาดที่เรื้อรังนั้น หากไม่ร่วมกันต่อสู้อย่างแข็งแกร่ง และหนักแน่น” มีแต่ “ความพ่ายแพ้” ที่รออยู่เบื้องหน้า “ความพ่ายแพ้ถาวร” เป็นอย่างไร น่าจะศึกษาได้จาก “อนาคตของพรรคเพื่อไทย” ที่เริ่มชัดเจนว่าจะเปลี่ยนไปจาก “เสรีนิยมประชาธิปไตย” เดินตาม “ประชาธิปัตย์” ที่ล่วงหน้าไปแล้ว
•…หากต้องการเรียนรู้ “เกมอำนาจ” ใน “ประวัติศาสตร์การเมืองยุคใหม่” สำนักพิมพ์มติชน ไปรื้อเอาหนังสือชุด “ฉะ แฉ ฉาว” อันเป็นบันทึกเบื้องหน้าเบื้องหลังเกมการเมืองตั้งแต่ “พฤษภาทมิฬ 35” ถึง “การตั้งรัฐบาลในค่ายทหารยุคอภิสิทธิ์” มาทำเป็น E-BOOK สนใจติดต่อได้ที่ Ookbee, MEB, SE-ED, NAIIN, Hytexts, Google Play Books, Pinto Ebook
ชโลทร
