‘จุติ’ แจงยิบ เบี้ยชรายังเหมือนเดิม ไม่สะดุด 100% ผู้สูงอายุสบายใจได้ ย้ำ โยนรบ.ใหม่เคาะเกณฑ์

“จุติ” แจงยิบ เบี้ยยังชีพยังเหมือนเดิม ไม่สะดุด 100% ผู้สูงอายุสบายใจได้ ย้ำ โยน รบ.ใหม่เคาะเกณฑ์ ชี้ นโยบายพรรคหาเสียง ต่างกับนโยบายรัฐบาล อัด “วิโรจน์” วาทกรรมใครก็พูดได้ แต่อยู่ที่จิตสำนึก ฝาก รมว.พม.คนใหม่ คิดถึงทุกกลุ่ม เฉลี่ยทุกข์-สุข

เมื่อเวลา 12.40 น. วันที่ 15 สิงหาคม 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้สัมภาษณ์กรณีการเปลี่ยนหลักเกณฑ์จ่ายเงินเบี้ยผู้สูงอายุว่า กระทรวงมหาดไทยไม่ได้โยนมายัง พม. เขาทำตามระเบียบ ตามกฎหมาย เพราะทุกคนไม่อยากทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ เปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยนตาม และต้องรอคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติกำหนดเกณฑ์

นายจุติกล่าวว่า ทั้งนี้รายละเอียดของการจ่ายเงินยังชีพผู้สูงอายุนั้น ประกอบด้วย 1.ขณะนี้ทุกคนที่ได้รับเบี้ยยังชีพ ยังได้รับเหมือนเดิมทุกประการ 100% ไม่มีใครตกหล่น 2.ต้องรอคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ 3.เป็นแนวทางเลือกตามมารยาท แล้วอยู่ที่รัฐบาลใหม่ว่าให้ทำอย่างไร 4.ความกังวลว่าเวลาให้ต้องคำนึงถึงกลุ่มอื่นๆ ของสังคมด้วย ซึ่งมีเด็ก 21 ล้านคน คนพิการ 3 ล้านคน ผู้สูงอายุ 11 ล้านคน

นายจุติกล่าวอีกว่า ผู้สูงอายุที่แสดงสิทธิ 11 ล้านคน รับอยู่ 89,000 ล้านบาท มีคนที่จนจริงๆ เพียง 4 ล้านคน ต้องถามว่าคนที่เป็นรัฐบาลมีงบประมานที่จำกัด จะเอาเงินไปช่วยคนที่จนที่สุดของประเทศก่อนหรือไม่เท่านั้นเอง ซึ่งหากรัฐบาลใหม่มา และบอกว่าพร้อมที่จะให้เงินเดือนละ 3,000 บาท ก็ต้องไปเก็บภาษีมาให้ได้ ปีละ 720,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันนี้กระทรวง พม.ทั้งกระทรวงได้รับงบประมาณอยู่ 8,000 ล้านบาท เพราะฉะนั้นคุณต้องไปหางบประมาณมาอีก 9 เท่า

นายจุติยังยืนยันว่า ไม่ได้วางกรอบหรือเงื่อนไขระยะเวลาให้คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติเคาะหลักเกณฑ์ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกรัฐมนตรีคนใหม่ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เป็นคนเลือกว่าจะให้อย่างไร พร้อมย้ำว่า ตอนนี้ยังจ่ายเงินปกติไม่ได้มีปัญหาอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์ รับเหมือนเดิมทุกประการ ไม่มีใครตกหล่นแม้แต่คนเดียว เพราะมีบทเฉพาะกาลอยู่

Advertisement

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะสามารถออกหลักเกณฑ์ได้ช่วงไหน นายจุติกล่าวว่า อยู่ที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ จะตัดสินและส่งให้รัฐบาลใหม่ เมื่อถามว่าจะให้ความมั่นใจกับประชาชนอย่างไร เพราะหลายคนกังวลจะถูกตัดเบี้ยผู้สูงอายุ นายจุติกล่าวยํ้าว่า “วันนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าผู้สูงอายุยังได้รับเบี้ยยังชีพ เหมือนเดิมไม่สะดุด งบประมาณก็จะเอาไว้แล้ว งบปี 2566 จะจบเดือนกันยายนนี้ และงบปี 2567 เพิ่มเป็น 110,000 ล้านบาท เพราะผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น”

ส่วนกรณีที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ออกมาแสดงความเห็นว่าเป็นการลักไก่ ช่วงรัฐบาลรักษาการนั้น นายจุติกล่าวว่า “วาทกรรมก็พูดได้ แต่ว่ามันอยู่ที่สามัญสำนึก จิตสำนึก และทำให้คนส่วนใหญ่เถอะ ผมไม่ทะเลาะกับการเมือง อยากฝากทุกคน ใครจะทำอะไรก็ได้ แต่ความสะใจไม่ได้ให้อะไรใครสักคนเดียว ซึ่งการเลือกตั้งจบไปแล้วตั้ง 2 เดือน ให้คนไทยรักกันดีกว่า ขอร้อง”

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า ตอนหาเสียงมีนโยบายจะเพิ่มเงินผู้สูงอายุ แต่พอเลือกตั้งเสร็จ จะมาลด นายจุติกล่าวว่า เพราะได้ข้อมูลผิดไงครับ ย้ำว่า ทุกคนที่ได้รับก็ยังคงได้รับเหมือนเดิม

Advertisement

เมื่อถามถึงการกำหนดการปรับหลักเกณฑ์ของผู้มีรายได้น้อยจะวัดอย่างไร นายจุติกล่าวว่า ต้องไปดูที่รัฐธรรมนูญปี 2560 ระบุว่า ผู้ที่ไม่มีรายได้เพียงพอนั่นแหละจะตัดที่เท่าไหร่ จะตัดที่ตัวเลขหรือเส้นแบ่งความยากจน แต่สิ่งที่นักการเมืองทุกคนไม่เคยพูดให้ประชาชนรับทราบว่า “ประเทศที่เขาเจริญแล้วที่เราทำตามเขา เขามีการพิสูจน์สิทธิ เช่น ออสเตรเลีย เยอรมัน อังกฤษ สหรัฐ คือมีการวัดว่าคุณลำบากจริง รายได้ไม่พอจริง ก็ควรจะไปช่วยเหลือ โอเคนะวันนี้เราบอกว่าเราให้ถ้วนหน้าก็โอเคครับ ถ้ามีสตางค์ วันนี้คุณยังเห็นเด็กที่ยังไม่มีเงินได้เรียนหนังสือ กองทุนเสมอภาคเพื่อการศึกษายังอยากมีงบประมาณเพิ่มขึ้น ดังนั้น จะให้กระจายทุกกลุ่มหรือไม่ หรือจะให้เฉพาะกลุ่ม คนเป็นรัฐบาลก็ต้องมองให้ถี่ถ้วน ผมว่าขอให้คิดถึงความเป็นมนุษย์อย่าไปคิดถึงคะแนนเสียง”

นายจุติยังกล่าวว่า เดิมทีรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่า ไม่ควรรับเงินซ้อนจากรัฐ ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว และอันใหม่ระบุว่าให้คนที่มีรายได้ไม่เพียงพอ ก็ต้องไปดูว่าตรงนั้นคืออะไร ไม่มีอะไรยาก ทำใจให้สบาย รักทุกคน และด้วยมารยาทตนคงไม่ไปเรียกคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติมาประชุม เพราะเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรี พม.คนใหม่

“ด้วยความเคารพทุกท่าน อยากให้แยกให้ออกว่านโยบายพรรคการเมืองกับนโยบายของรัฐบาล และโครงสร้างของประเทศ โครงสร้างการคลัง ประเทศไทยไม่ได้เผื่อไว้ หรือออกแบบมาเพื่อเป็นรัฐสวัสดิการ ดังนั้นหากจะต้องเปลี่ยนระบบเป็นระบบรัฐสวัสดิการ ต้องมีคนรับผิดชอบเยอะ วันนี้มีผู้ยื่นเสียภาษี 11 ล้านคน เสียภาษีจริงเพียง 4 ล้านคน ดังนั้นต้องขยายฐานภาษี และภาษีมูลค่าเพิ่มของต่างประเทศเขาอยู่ที่ 22 เปอร์เซ็นต์ ของไทยเราอยู่ที่ 7 เปอร์เซ็นต์ ภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเขาอยู่ที่ 39 เปอร์เซ็นต์ แต่เราอยู่ที่ 20-22 เปอร์เซ็นต์ ส่วนภาษีท้องที่เขาอยู่ที่ 12 เปอร์เซ็นต์ เราอยู่ที่ 0.5-1 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นเราต้องมาถามว่าคนไทยพร้อมหรือยัง คุยกันทั้งประเทศ นักการเมือง พรรคการเมือง ก็ต้องฟังทั่วทุกกลุ่ม” นายจุติกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ใช่หรือไม่ นายจุติพยักหน้า พร้อมกล่าวว่า ด้วยความรับผิดชอบ เมื่อถามอีกว่า อยากจะฝากอะไรไปถึงรัฐมนตรี พม.คนใหม่หรือไม่ นายจุติกล่าวว่า ขอให้คิดถึงทุกกลุ่ม รักทุกคน เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุขดีกว่า

เมื่อถามว่า ไม่กลับมากระทรวงเดิมแล้วใช่หรือไม่ นายจุติกล่าวว่า ไม่มีใครทราบ เดี๋ยวเป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่แล้ว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image