เศรษฐา เผยถูก ‘ชูวิทย์’ ข่มขู่ ย้ำแสนสิริซื้อขายที่ดินโปร่งใส ชี้ลงการเมืองเอง ศัตรูคือความจน(มีคลิป)

‘เศรษฐา’ แจงเองปมซื้อขายที่ดินแสนสิริ ยันทำทุกต้องโปร่งใส ไม่มีนอมินี-เงินทอน บอกถูกข่มขู่ซื้อที่ดิน 2 พันล้าน ‘ชูวิทย์’ แลกไม่แฉ

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์คลิปวิดีโอความยาว 07.44 นาที ผ่านเฟซบุ๊ก ชี้แจงกรณีการซื้อขายที่ดินของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) โดยเนื้อหาในคลิประบุว่า วันนี้ออกมาพูดในฐานะที่เคยเป็นผู้บริหารบริษัทแสนสิริ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค พท. บริษัท แสนสิริ ผ่านพ้นวิกฤตมาหลากหลายรูปแบบ ทีมงานทุกคนบริหารงานอย่างโปร่งใสในรูปแบบของคณะกรรมการตามข้อบังคับของบริษัทและตลาดหลักทรัพย์ เราทำงานตามหลักธรรมาภิบาล บริษัท แสนสิริ เติบโตในวงการอสังหาริมทรัพย์อย่างมั่นคงเข้มแข็ง ไม่เคยถูกตั้งข้อกล่าวหา หรือแม้กระทั่งตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการทำงานและการประกอบการของบริษัทแต่อย่างใด

นายเศรษฐากล่าวว่า ตนออกมาวันนี้เพื่อให้ข้อเท็จจริงและตอบคำถามของสังคม กรณีการจัดซื้อที่ดินของแสนสิริและเรื่องนอมินีในขณะที่ตนเป็นผู้บริหาร ยืนยันว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันการซื้อขายที่ดินเพื่อประกอบการบริษัท เราดำเนินการด้วยความถูกต้องตามกฎหมายในทุกขั้นตอน ไม่เคยมีวิธีการนอกระบบกฎหมาย เพื่อเบียดบังผลประโยชน์ของรัฐหรือแสวงหาประโยชน์เป็นการส่วนตัว และขอปฏิเสธข้อกล่าวหาในทุกกรณีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง นำมากล่าวอ้าง ซึ่งเต็มไปด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ บิดเบือนให้เกิดความเสียหาย

Advertisement

นายเศรษฐาระบุด้วยว่า ในทุกตอนที่นายชูวิทย์นำมาสร้างกระแสนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ดินแปลงสารสิน หรือที่ดินซอยทองหล่อ เป็นเรื่องแบบเดียวกัน ต้องยอมรับว่าแสนสิริในฐานะผู้ซื้อ ทำธุรกรรมกับผู้ขายรายต่างๆ โดยชำระค่าที่ดินตามราคาตลาดที่สมเหตุสมผล สัญญาซื้อขายเป็นสัญญาต่างตอบแทน ผู้ซื้อและผู้ขายมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ซึ่งกันและกัน รวมทั้งหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนด บริษัท แสนสิริ คือผู้ซื้อซึ่งไม่สามารถที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการบริหารภายในของฝ่ายผู้ขายได้ในทุกขั้นตอน ฝั่งผู้ซื้อไม่มีนอมินี ไม่มีการปล่อยกู้ให้ผู้ขาย

นายเศรษฐาระบุอีกว่า ความจริงเป็นการจดจำนองเพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญาและห้ามผิดสัญญาของบริษัทผู้ขาย และประกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเป็นจำนวนเงิน 1,000 ล้านบาท มีหลักฐานชัดเจน ยืนยันไม่มีการทำสัญญากู้ อีกทั้งไม่มีการสมคบคิดใดๆ และไม่เคยมีเงินทอนใดๆ กลับมาที่ตน หรือพนักงานแสนสิริคนไหนทั้งสิ้น

Advertisement

นายเศรษฐาระบุต่อว่า สำหรับแปลงโครงการคุณ บาย ยู (KHUN by YOO) มูลค่าที่ดินราคา 1,100,000 บาทต่อตารางวา เป็นราคาที่ถือว่าดีมาก ราคานี้ไม่มีเงินทอนให้ใคร ขอย้ำอีกครั้งว่านายชูวิทย์ต้องแยก ผู้ขาย กับ ผู้ซื้อให้ได้ อย่าบิดเบือน และแสนสิริไม่มีนอมินีแน่นอน หลังจากนี้หากจะพูดเรื่องที่ดินอีกกี่แปลงก็ได้ แต่ต้องแยกผู้ขายกับผู้ซื้อให้ชัดเจน และต้องใช้ความจริงที่ไม่บิดเบือน

“คุณโกรธเคืองที่บริษัทไม่ซื้อที่ดินคุณที่ซอยสุขุมวิท 24 เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว เราตกลงกันจากราคา 2,000 ล้าน เหลือ 1,800 ล้าน แต่ที่ดินคุณมีเงื่อนไขติดพันกับบริษัท ไรมอนแลนด์ แสนสิริจึงไม่สามารถซื้อที่ดินที่มีนิติกรรมซ้อนได้ คุณไม่พอใจ แต่เพราะเงื่อนไขของที่ดินคุณเอง แสนสิริเป็นบริษัทมหาชน ผมทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมด 100% และไม่มีอะไรที่ผิดกฎหมาย รวมถึงไม่ผิดจริยธรรมใดๆ” นายเศรษฐาระบุ

นายเศรษฐากล่าวต่อว่า ผ่านมา 10 เดือน ตั้งแต่กันยายนปีที่แล้ว จนมาถึงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ในวันที่พรรค พท.เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หลังจากที่ข่าวออกเรื่องมติพรรคเสนอชื่อตนในสภาเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ตนโดนข่มขู่ นายชูวิทย์ฝากข้อความผ่านคนใกล้ชิดมาสั่งให้ตนมัดจำเงินเพื่อซื้อที่ดิน และทำเอ็มโอยูแบบไม่มีเงื่อนไขในการซื้อขายที่ดิน ตนไม่ได้ทำอะไรผิด นายชูวิทย์ไม่มีสิทธิมาข่มขู่ตน นอกจากนี้ ยังมีการติดต่อผู้ใหญ่มากมายให้มาบอกตนว่าจะแฉ และทำทุกอย่างเพื่อให้ตนไม่เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ถ้าให้ไม่แฉ ตนต้องตกลงซื้อที่ดินราคา 2,000 ล้านทันทีแบบไม่มีเงื่อนไข ไม่งั้นจะเดินหน้าดิสเครดิตและด้อยค่าตนต่อไป

นายเศรษฐากล่าวว่า นายชูวิทย์บิดเบือนไปถึง เรื่องดิจิทัลวอลเล็ต ทำให้ประชาชนเข้าใจว่านโยบายนี้จะเป็นการฟอกเงินผ่านทางคอยน์ (coin) เลอะเทอะไปหมด ขอให้นายชูวิทย์อย่าได้เอาเรื่องนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของพรรค พท.มาโจมตีอย่างไม่มีหลักการ โครงการนี้เป็นโครงการที่ดี มีผลประโยชน์ต่อประเทศอย่างมาก สามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้เป็นจำนวนมากกว่า 50 ล้านคน และเป็นนโยบายสำคัญที่สุดอันหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทันที ทำให้ประเทศนั้นสามารถพลิกฟื้นกลับมาอีกครั้ง และงบประมาณทั้งหมดจะถูกส่งตรงไปยังประชาชนทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป

ไการที่ผมพูดความจริงในครั้งนี้ ผมรู้ว่าคุณชูวิทย์ต้องไม่พอใจและอาจจะไปฟ้องศาล ผมก็พร้อมที่จะนำพยานหลักฐานไปสู้คดีกับคุณชูวิทย์ในศาลต่อไป ทั้งนี้ ชีวิตผมตรวจสอบได้หมดทุกอย่าง ลูกผมมีงานที่ดีทำทุกคน ผมไม่มีอะไรต้องห่วง ทุกคนเตือนผมว่าอย่าลงการเมือง มันเปลืองตัว

“ผมขอบคุณในความหวังดีของทุกคน แต่วันนี้ผมตัดสินใจเอง ผมเข้ามาตรงนี้เพราะอยากทำให้ประเทศชาติและเศรษฐกิจให้ดีขึ้น เพิ่มรายได้ให้ประเทศ ให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากวันแรกที่ผมตัดสินใจจะทำจนถึงวันนี้ ผมมั่นใจที่จะทำเพื่อประเทศชาติเหมือนเดิม และย้ำอีกครั้งว่าศัตรูของผมคือความยากจน และความไม่เสมอภาคของประชาชน เป้าหมายของผมคือความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทยทุกคน” นายเศรษฐา ระบุ

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image